Table of Contents
โรคไตเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่ต้องอาศัยการดูแลหลายด้าน โดยเฉพาะ “อาหาร” ที่ถือเป็นเสาหลักในการชะลอการเสื่อมของไตอย่างได้ผล แต่การรู้แค่ว่า “เค็มไม่ได้” ยังไม่พอค่ะ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้ให้ลึกว่า ผู้ป่วยโรคไตควรกินอะไร ห้ามกินอะไร และควรระวังอะไรบ้างทั้งเรื่องยา วิตามิน น้ำ และพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้ดี แม้จะเป็นโรคไตก็ตามค่ะ
การควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคไต (เบื้องต้น)
การควบคุมอาหารของผู้ป่วยโรคไตจะแตกต่างกันตาม “ระยะของโรค” แต่หลักการเบื้องต้นที่ผู้ป่วยทุกระยะควรปฏิบัติมีดังนี้
1.ลดโซเดียม (เค็ม)
เพื่อช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดการบวมน้ำ
เค็มเกินไป ไตรับไม่ไหว ลดเค็มอย่างไรดี
การลดเค็มเป็นหัวใจของการชะลอโรคไต แนะนำให้เริ่มจาก…
- งดน้ำปลาพริก ซีอิ๊ว ซุปก้อน ผงชูรส
- ชิมก่อนปรุง อย่าใส่เครื่องปรุงโดยอัตโนมัติ
- เลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ ปลากระป๋อง
- อ่านฉลากโภชนาการ เลือกอาหาร “โซเดียมต่ำ”
หากลิ้นยังไม่ชินกับความจืด ลองใช้เครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริกไทย หอมแดง ช่วยเพิ่มรสชาติแบบธรรมชาติค่ะ
2.จำกัดโปรตีน
กินแต่พอดี เพราะโปรตีนที่มากเกินไปจะเพิ่มภาระให้ไตกรองของเสีย
โปรตีนมากไป ไตเหนื่อยได้ ควรกินอย่างไรให้พอดี?
- ควรจำกัดโปรตีนตามคำแนะนำของแพทย์ หรือนักกำหนดอาหาร
- เลือกโปรตีนคุณภาพดี เช่น ไข่ขาว ปลา เต้าหู้
- หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก
- หากอยู่ในระยะไตเสื่อมลุกลาม แพทย์อาจแนะนำสูตรอาหารที่มีโปรตีนต่ำเฉพาะทาง
หากกินโปรตีนมากโดยไม่จำเป็น จะทำให้ไตต้องกรองของเสียมากขึ้น และอาจเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นได้ค่ะ
3.ควบคุมโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส
หากสะสมมากเกิน จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือกระดูกบาง
แร่ธาตุมากไป ไม่ใช่เรื่องดี ควรควบคุมด้วยวิธีเหล่านี้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย องุ่นแดง น้ำมะเขือเทศ น้ำเต้าหู้ ลูกพรุน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น นม ชีส โยเกิร์ต ถั่วเปลือกแข็ง น้ำอัดลมสีเข้ม
- อ่านฉลากอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยง “ฟอสเฟต” ซึ่งมักเป็นสารเติมแต่งในอาหารแปรรูป
- ต้มผักในน้ำแล้วทิ้งน้ำแรก เพื่อลดปริมาณโพแทสเซียม
การควบคุมสองแร่ธาตุนี้มีความสำคัญมากในผู้ป่วยโรคไตระยะกลางถึงรุนแรง และควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิดค่ะ
4.ดื่มน้ำให้เหมาะสม
หลายคนคิดว่ายิ่งดื่มน้ำเยอะยิ่งดี แต่กับผู้ป่วยโรคไตต้อง “พอดี” ค่ะ

น้ำเปล่ากับไต ดื่มแค่ไหนถึงพอดี?
- สำหรับคนทั่วไป วันละ 6-8 แก้ว (ประมาณ 1.5-2 ลิตร) กำลังเหมาะ
- หากเป็นโรคไตระยะลุกลามหรือมีอาการบวมน้ำ ต้องลดปริมาณน้ำตามคำแนะนำแพทย์
- วิธีประเมินคร่าวๆ: ปัสสาวะสีเหลืองใส ไม่มีกลิ่นเหม็น คือดื่มพอ
ดื่มมากเกินไปอาจทำให้ภาวะน้ำเกิน (fluid overload) ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อหัวใจและระบบไหลเวียนค่ะ
แนะนำ 5 เมนูอาหารที่เป็นมิตรกับไต
สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่ยังไม่ฟอกไต การเลือกเมนูอาหารต้องทั้งปลอดภัยและอร่อย เราขอแนะนำเมนูที่ช่วยให้ไตทำงานไม่หนักเกินไปดังนี้ค่ะ
- ข้าวต้มปลาใส่ผักนิ่ม ๆ (ไม่ใส่ซีอิ๊ว)
- แกงเลียงใส่ฟักทอง ตำลึง (ไม่ใส่กะปิ)
- ไข่ตุ๋นรสอ่อน
- ปลานึ่งมะนาวแบบไม่ใส่น้ำปลา
- เต้าหู้นึ่งซีอิ๊วญี่ปุ่น (โซเดียมต่ำ)
เคล็ดลับคือเลือกวัตถุดิบสดและลดโซเดียม เช่น ใช้เกลือโปแทสเซียมต่ำ หรือไม่ใส่เกลือเลยแล้วปรุงรสด้วยมะนาวหรือน้ำส้มสายชูแทน

โรคไตกินยาอะไรได้บ้าง หลีกเลี่ยงอะไรดี?
ผู้ป่วยโรคไตจำเป็นต้องใส่ใจ “ยา” และ “ผลิตภัณฑ์เสริมต่าง ๆ” เป็นพิเศษ เพราะไตมีหน้าที่กรองของเสียและยาจำนวนมากออกจากร่างกาย หากรับเข้าไปโดยไม่เหมาะสม อาจเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวค่ะ ในหัวข้อนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่า ยาชนิดใดควรเลี่ยง วิตามินใดทานได้ และสมุนไพรที่ควรระวังมีอะไรบ้าง
ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด ใช้อย่างไรไม่ให้ไตพัง?
ผู้ป่วยโรคไตควร หลีกเลี่ยงยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น ibuprofen, diclofenac เพราะยาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อไตโดยตรง ได้แก่
- เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไตอักเสบเฉียบพลัน
- รบกวนการควบคุมความดันโลหิต
- ทำให้การทำงานของไตเสื่อมเร็วขึ้น
หากจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด แนะนำให้ใช้ paracetamol (พาราเซตามอล) ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และควรหลีกเลี่ยงการใช้พร่ำเพรื่อหรือเกินขนาด
การรับประทานยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ เสี่ยงโรคไตหรือไม่?
คำตอบคือ เสี่ยงแน่นอน โดยเฉพาะการใช้ยาโดยไม่จำเป็นหรือไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เช่น
- ใช้ยาแก้ปวดต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ใช้ยาเกินขนาดที่แนะนำ
- ใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์ หรือยาตัวอื่นที่กระทบไต
แนะนำให้ใช้ยาเท่าที่จำเป็น และปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ค่ะ
ยาระบาย ยาถ่าย ยาลดความอ้วน กับโรคไต
ยากลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มที่พบการใช้พร่ำเพรื่อ และส่งผลกระทบต่อไตมากโดยไม่รู้ตัว เช่น
- ยาระบายและยาถ่าย หากใช้บ่อยเกินไป จะทำให้ร่างกายเสียสมดุลน้ำและเกลือแร่ ซึ่งเป็นภาระต่อไต
- ยาลดความอ้วน บางชนิดมีสารกระตุ้นระบบประสาทหรือฮอร์โมน ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อไต
- หากมีโรคไตอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงยากลุ่มนี้ทั้งหมด
ทางที่ดีหากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักหรือระบบขับถ่าย ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกำหนดอาหาร เพื่อหาแนวทางที่ปลอดภัยแทนการใช้ยาเองค่ะ
สมุนไพรบำรุงไต? ความจริงที่ควรรู้ก่อนลอง
หลายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรโฆษณาว่า “บำรุงไต” แต่ในความเป็นจริง:
- สมุนไพรบางชนิดอาจทำให้เกิด ภาวะตับและไตอักเสบ
- ไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์ที่รับรองชัดเจน ว่าปลอดภัยหรือได้ผล
- หากกินร่วมกับยาที่แพทย์สั่ง อาจเกิด ปฏิกิริยาระหว่างยา ที่เป็นอันตรายได้
คำแนะนำที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ทุกครั้งค่ะ อย่าซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากคำบอกเล่าหรือรีวิวเพียงอย่างเดียว
เป็นโรคไตกินวิตามินอะไรได้บ้าง?
แม้ว่าผู้ป่วยไตบางรายอาจขาดสารอาหารบางชนิด แต่การเลือกวิตามินเสริมต้องระมัดระวังเช่นกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ดังนี้ค่ะ
- วิตามินบีรวม
สามารถทานได้ ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดอาการชาตามมือเท้า - วิตามินซี
ควรทานไม่เกิน 60–100 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากมากเกินไปอาจสะสมเป็นนิ่วหรือเร่งให้ไตเสื่อม - วิตามินดี
บางรายอาจจำเป็นต้องเสริม หากแพทย์ตรวจพบว่ามีภาวะแคลเซียมหรือฟอสฟอรัสไม่สมดุล
ผู้ป่วยไตไม่ควรซื้อวิตามินทานเอง แม้จะดูปลอดภัย เพราะบางชนิดอาจขับออกทางไตโดยตรง และเป็นภาระเพิ่มเติมให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นค่ะ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
7 พฤติกรรมทำลายไตที่คุณอาจไม่รู้ตัว
ต่อไปนี้คือพฤติกรรมที่อาจดูเล็กน้อยแต่ทำร้ายไตมากกว่าที่คิด
- ดื่มน้ำหวานหรือชานมแทนน้ำเปล่า
- ทานเค็มจัดเป็นประจำ
- ขาดการออกกำลังกาย
- อดนอน นอนดึก
- สูบบุหรี่
- ใช้ยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมโดยไม่ศึกษาข้อมูล
- ปัสสาวะกลั้นบ่อย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ โรคไตควรกินอะไร
Q1 : โรคไตกินวิตามินซีได้ไหม?
ถ้าไม่เกิน 100 มก./วันโดยรวมจากอาหารและเสริม ยังสามารถทานได้ค่ะ แต่ต้องระวังเรื่องนิ่วและควรปรึกษาแพทย์ก่อน
Q2 : โรคไตกินยาแก้อักเสบได้ไหม?
หลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAIDs เพราะกระทบไตโดยตรง หากจำเป็นต้องกิน ควรให้แพทย์แนะนำค่ะ
Q3 : ดื่มน้ำเยอะ ๆ ดีต่อไตไหม?
ดื่มน้ำให้พอดีกับร่างกายดีที่สุดค่ะ ถ้าไตเริ่มเสื่อมหรือมีอาการบวมน้ำ ห้ามดื่มมากเกินเด็ดขาด
Q4 : คนไตเสื่อมกินกล้วยได้ไหม?
กล้วยมีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยไตระยะ 3 ขึ้นไปควรเลี่ยงหรือทานในปริมาณน้อยและไม่บ่อยค่ะ
Q5 : ดื่มกาแฟเยอะ ๆ ไตจะพังไหม?
กาแฟในปริมาณ 1–2 แก้วต่อวัน ยังถือว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่มีโรคไตค่ะ
แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวัง เพราะ
- คาเฟอีนอาจกระตุ้นการขับปัสสาวะมากเกินไป
- ส่งผลต่อความดันโลหิต และทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น
แนะนำให้จำกัดปริมาณที่ ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน และ หลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาลหรือนมข้นหวาน เพื่อไม่ให้เพิ่มภาระไตโดยไม่จำเป็นค่ะ
Q6 : ดื่มน้ำมะพร้าวทำให้ไตพังจริงไหม?
น้ำมะพร้าวมี โพแทสเซียมสูง ซึ่งในคนที่มีไตเสื่อมแล้ว ไตจะไม่สามารถขับออกได้ดีเหมือนปกติ จึงอาจสะสมในเลือดและเกิดภาวะแทรกซ้อนค่ะ โดย:
- สำหรับผู้ที่ไตปกติ ดื่มได้เป็นครั้งคราว
- สำหรับผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะ ระยะที่ 3 ขึ้นไป ควร หลีกเลี่ยง
- หากจำเป็นต้องดื่ม ควรจำกัดปริมาณ ไม่เกิน ½ แก้วต่อครั้ง และไม่ควรดื่มบ่อย
แนะนำให้เลือกเครื่องดื่มอื่นที่มีโพแทสเซียมต่ำ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนหากอยากดื่มเป็นประจำค่ะ
สรุป ดูแลไตให้ดี เริ่มที่สิ่งเล็ก ๆ รอบตัวคุณ
โรคไตอาจไม่ใช่โรคที่รักษาหายขาด แต่คุณสามารถชะลอการเสื่อมและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ หากใส่ใจเรื่องอาหาร การดื่มน้ำ ยา วิตามิน และสมุนไพรอย่างเหมาะสม ทุกสิ่งที่เข้าสู่ร่างกายล้วนส่งผลต่อไตโดยตรงค่ะ
หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับโรคไต อย่าลืมตรวจสอบสิทธิการรักษาที่คุณสามารถใช้ได้ เพื่อให้เข้าถึงการดูแลที่จำเป็นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเกินตัว
- สิทธิบัตรทองดูแลไตเรื้อรัง ฟรี คลิกดูรายละเอียด
- สิทธิประกันสังคมรักษาไตเรื้อรัง คลิกดูรายละเอียด