Table of Contents
“ไตเสื่อม” เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการทำร้ายไตโดยไม่รู้ตัว ปัญหาคือหลายคนไม่รู้ว่าตนเองไตเสื่อม จนกระทั่งเข้าสู่ระยะท้าย ซึ่งการรักษาทำได้ยากขึ้นค่ะ บทความนี้จะพาไปรู้จักโรคไตเสื่อมอย่างลึกซึ้ง พร้อมแนวทางดูแลชะลอโรค และตอบคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย
ไตเสื่อมคืออะไร?
ไตเสื่อม (Chronic Kidney Disease: CKD) คือภาวะที่การทำงานของไตลดลงอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป โดยวัดจากค่า GFR (อัตราการกรองของไต) หากต่ำกว่า 60 mL/min/1.73 m² ติดต่อกันเกิน 3 เดือน จะถือว่าเข้าสู่ภาวะไตเสื่อม

ไตเสื่อม รักษาหายไหม?
หลายคนเข้าใจผิดว่า “ไตเสื่อมต้องฟอกไตเสมอไป” หรือ “เป็นแล้วหายขาดไม่ได้” ความจริงคือ
- หากตรวจพบในระยะต้นและดูแลอย่างถูกต้อง สามารถ ชะลอหรือหยุดยั้งการเสื่อม ได้
- ไตที่เสื่อมแล้วไม่สามารถฟื้นตัวกลับมา 100% แต่สามารถ คงสภาพไว้ให้นานที่สุด โดยไม่เข้าสู่ภาวะไตวาย
- ในบางรายที่มีสาเหตุเฉพาะ เช่น ภาวะขาดน้ำเฉียบพลัน หรือใช้ยาที่มีผลต่อไต หากหยุดสาเหตุนั้นได้ทันก็อาจฟื้นกลับมาได้บางส่วน
หยุดไตเสื่อมด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ควรเริ่มจากอะไร
สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อรู้ว่าไตเริ่มเสื่อม คือ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้
- ดื่มน้ำพอดี ไม่มากเกินหรือน้อยเกิน (ประมาณ 1.5 ลิตร/วัน เว้นแต่แพทย์สั่งจำกัดน้ำ)
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ให้อยู่ในระดับปกติ
- หลีกเลี่ยงยาทำร้ายไต เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, สมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน
- เลิกบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกาย อย่างเหมาะสม สม่ำเสมอ
เพียงปรับพฤติกรรม 5 อย่างนี้ ก็สามารถช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น และยืดระยะเวลาเข้าสู่ภาวะไตวายได้อย่างมีนัยสำคัญค่ะ
การปรับอาหารเพื่อชะลอไตเสื่อม ลดเกลือ โปรตีน และโพแทสเซียม
โภชนาการเป็นหัวใจสำคัญในการชะลอโรคไตเสื่อม โดยเฉพาะในระยะ 3–5 ที่ควบคุมยากขึ้น
1. ลดเกลือ (โซเดียม)
- หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำพริกสำเร็จรูป
- ปรุงอาหารด้วยสมุนไพรแทนการใช้น้ำปลา ซีอิ๊ว
2. ควบคุมโปรตีน
- โปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้ เห็ด มีผลกระทบน้อยกว่าเนื้อสัตว์
- ในระยะไตเสื่อม ต้องปรับปริมาณโปรตีนตามคำแนะนำแพทย์หรือนักกำหนดอาหาร
3. ระวังโพแทสเซียมสูง
- หลีกเลี่ยงผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย ส้ม มะม่วง
- ลวกผักในน้ำเดือดแล้วเทน้ำทิ้งก่อนปรุง จะช่วยลดโพแทสเซียมได้
อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยไต ควรปรับตามระยะของโรค และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือนักโภชนาการเสมอค่ะ
ยารักษาไตเสื่อม ปรับตามระยะและโรคร่วม
ยาที่แพทย์มักใช้ควบคุมอาการไตเสื่อม ได้แก่
- ยาลดความดัน (เช่น ACEIs หรือ ARBs) เพื่อชะลอความเสื่อมของไต
- ยาควบคุมเบาหวาน หากผู้ป่วยมีโรคร่วม
- ยาลดไขมันในเลือด เพื่อลดความเสี่ยงหลอดเลือดตีบ
ปรับยาในผู้ป่วยไตเสื่อม ทำไมแพทย์เปลี่ยนยาบ่อย?
เพราะการทำงานของไตมีผลโดยตรงต่อ การขับยาทิ้งจากร่างกาย ยาที่เคยกินแล้วปลอดภัย อาจกลายเป็นอันตรายได้เมื่อไตเสื่อม เช่น:
- ยาสะสมในเลือดได้ง่าย ทำให้เกิดพิษ
- ยาออกฤทธิ์นานเกิน หรือมีผลข้างเคียงสูงขึ้น
ดังนั้น แพทย์จะต้องปรับขนาดยา หรือเปลี่ยนชนิดให้เหมาะกับการทำงานของไตในแต่ละระยะ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษาค่ะ

ไตเสื่อมห้ามกินอะไรบ้าง?
อาหารบางชนิดอาจเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น หรือทำให้ระดับแร่ธาตุในเลือดผิดปกติ เช่น
- อาหารเค็มจัด เช่น น้ำปลาร้า น้ำพริกปลาทู
- โปรตีนเกินความจำเป็น โดยเฉพาะเนื้อแดง เครื่องในสัตว์
- ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม แตงโม มะม่วง
- น้ำซุปกระดูก ที่มีฟอสฟอรัสสูง
- อาหารเสริมและสมุนไพร ที่ไม่ได้ผ่าน อย.
หากสงสัยว่าอาหารใดปลอดภัยหรือไม่ ควรปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์ผู้ดูแลเป็นหลักค่ะ
รักษาไตเสื่อมในผู้สูงอายุ รักษาเท่าที่จำเป็น
ผู้สูงอายุมักมีภาวะไตเสื่อมตามอายุอยู่แล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องรักษาเชิงรุกเสมอไป แพทย์จะพิจารณา “การรักษาเท่าที่จำเป็น” โดยดูจากองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. ระดับความเสื่อมของไตและอาการร่วม
- หากค่า GFR ต่ำกว่าเกณฑ์ (เช่น < 45 mL/min/1.73 m²) แต่ไม่มีอาการชัดเจน เช่น บวม เหนื่อย หายใจลำบาก หรือค่าเกลือแร่ในเลือดไม่ผิดปกติรุนแรง ก็อาจ ยังไม่จำเป็นต้องรักษาเชิงรุก
- หากเริ่มมีอาการบ่งชี้ เช่น ซีด เบื่ออาหาร ความดันควบคุมไม่ได้ หรือบวมน้ำ อาจพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม แต่จะเน้นแบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
2. คุณภาพชีวิตโดยรวม
- ผู้สูงอายุที่ยังเดินเหินได้ดี ไม่มีโรคร่วมรุนแรง อาจได้รับการรักษาเชิงรุกมากกว่าผู้สูงอายุที่นอนติดเตียง มีภาวะสมองเสื่อมหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
- หลักการสำคัญคือ รักษาเพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่รักษาเพื่อยืดชีวิตอย่างเดียว
- ในบางกรณี การฟอกไตอาจส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลง เพราะต้องไปโรงพยาบาลบ่อย มีภาวะแทรกซ้อน และความเครียดร่วมด้วย
3. โรคร่วมและยาที่ใช้อยู่
- ผู้สูงอายุจำนวนมากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน หรือโรคหัวใจ การปรับการรักษาไตต้อง คำนึงถึงผลกระทบต่อโรคเหล่านี้ ด้วยเสมอ
- ยาที่ใช้รักษาโรคร่วมบางชนิดอาจมีผลต่อไต เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาต้านการอักเสบบางชนิด ดังนั้นแพทย์จะต้อง คัดกรองและปรับยา ให้เหมาะสมกับการทำงานของไตในแต่ละระยะ
การรักษาแบบประคับประคองในผู้สูงอายุ ไม่ใช่การละเลย แต่คือการ “ดูแลให้พอดี”
การรักษาแบบ Conservative Management หรือการดูแลแบบประคับประคองนั้น หมายถึง
- ดูแลด้านโภชนาการ โดยลดโปรตีนในอาหาร ปรับลดเกลือ ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ตามระดับการทำงานของไต
- ควบคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย โดยใช้ยาที่ไม่ทำร้ายไต
- ติดตามผลเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูระดับครีเอตินิน เกลือแร่ ซีด และอื่น ๆ
- ลดภาวะแทรกซ้อน เช่น บวม ความดันไม่คงที่ หรือระดับฟอสฟอรัสสูงในเลือด
- ให้คำแนะนำผู้ดูแล เพื่อเข้าใจการดูแลไตในผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม ไม่หวังผลฟื้นกลับ 100% แต่เน้นให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไตเสื่อม
Q1 : ไตเสื่อมรักษาหายไหม?
หายขาดไม่ได้ค่ะ แต่สามารถชะลอหรือหยุดการเสื่อมได้หากตรวจพบเร็วและดูแลอย่างเหมาะสม
Q2 : ไตเสื่อมต้องฟอกไตทุกคนไหม?
ไม่จำเป็นค่ะ หากไตยังทำงานได้เพียงพอ และไม่มีอาการไตวาย แพทย์จะใช้การดูแลแบบประคับประคอง
Q3 : ยารักษาไตเสื่อมมีอะไรบ้าง?
ส่วนใหญ่มุ่งควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ยาคุมความดัน ยาลดน้ำตาล ยาลดไขมัน ไม่ใช่ยาฟื้นฟูไตโดยตรง
Q4 : ไตเสื่อมห้ามกินอะไรบ้าง?
ห้ามอาหารเค็มจัด โปรตีนเกินจำเป็น ผลไม้โพแทสเซียมสูง น้ำซุปเข้มข้น และสมุนไพรไม่ได้มาตรฐาน
Q5 : ไตเสื่อมสามารถหยุดยั้งได้ไหม?
สามารถชะลอและหยุดการเสื่อมได้ หากปรับพฤติกรรม ควบคุมโรคประจำตัว และรับการรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ
Q6 : ไตเสื่อมระยะไหนควรเริ่มพบแพทย์เฉพาะทางโรคไต?
ตั้งแต่ระยะที่ 3 ขึ้นไป (GFR ต่ำกว่า 60) ควรเริ่มพบอายุรแพทย์โรคไต เพื่อประเมินแนวโน้มโรค วางแผนการดูแล และติดตามอย่างต่อเนื่อง
Q7 : ไตเสื่อมสามารถออกกำลังกายได้ไหม?
สามารถออกกำลังกายได้ โดยควรเลือกกิจกรรมที่ไม่หักโหม เช่น เดิน โยคะ หรือปั่นจักรยานเบา ๆ และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
Q8 : ไตเสื่อมต้องกินน้ำวันละกี่ลิตร?
ขึ้นอยู่กับระยะของโรคค่ะ บางรายต้องดื่มน้ำพอประมาณ (1.5 ลิตร/วัน) แต่บางรายต้องจำกัดน้ำเพื่อไม่ให้เกิดภาวะบวมน้ำ ควรปรึกษาแพทย์
Q9 : ไตเสื่อมควรงดสมุนไพรหรือไม่?
ใช่ค่ะ เพราะสมุนไพรบางชนิด เช่น เห็ดหลินจือ หญ้าปักกิ่ง หรือฟ้าทะลายโจร อาจมีผลต่อไต หรือมีโอกาสสะสมสารพิษ ควรหลีกเลี่ยงหากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
Q10 : ผู้ป่วยไตเสื่อมสามารถกินนมได้หรือไม่?
ผู้ป่วยบางรายยังสามารถกินนมได้ แต่ควรเลือกนมไขมันต่ำ และระวังเรื่องฟอสฟอรัสหรือโพแทสเซียม หากอยู่ในระยะท้าย ควรปรึกษานักโภชนาการก่อนเสมอ
Q11 : ค่า GFR เท่าไรถึงเรียกว่าไตเสื่อมระยะสุดท้าย?
ค่า GFR ต่ำกว่า 15 mL/min/1.73 m² จะถือว่าเป็นไตวายระยะสุดท้าย (CKD Stage 5) และอาจต้องเริ่มพิจารณาการฟอกไตหากมีอาการร่วม
Q12 : การตรวจคัดกรองไตเสื่อมควรทำบ่อยแค่ไหน?
หากเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรืออายุมากกว่า 60 ปี ควรตรวจปีละ 1 ครั้ง หรือตามคำแนะนำแพทย์
สรุป เริ่มวันนี้ ไตเสื่อมก็ยังทันฟื้นตัว
โรคไตเสื่อมอาจไม่หายขาด แต่ก็ไม่ใช่จุดจบ ถ้าเราเริ่มปรับพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ค่ะ ทั้งการกินอาหารให้ถูกต้อง ลดความเค็ม คุมโปรตีน ออกกำลังกาย และไปพบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การดูแลอย่างเหมาะสมและเท่าที่จำเป็นจะช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
และหากคุณเป็นผู้ป่วยโรคไตหรือสงสัยว่าอาจมีภาวะเสี่ยง อย่าลืมว่าสิทธิการรักษาของคนไทยมีหลายทางเลือกที่สามารถใช้เพื่อดูแลไตได้อย่างต่อเนื่อง ดังนี้