การเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว ยังเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ถือว่าสูง และเป็นภาระทางการเงินอย่างมาก สำหรับผู้ป่วยและครอบครัว
ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกันตน ที่สำนักงานประกันสังคมได้ครอบคลุมการรักษาโรคหัวใจด้วย 7 หัตถการที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยไม่ต้องสำรองจ่าย
The medicative ได้รวบรวมรายละเอียด เช่น การรักษาที่ครอบคลุม ขั้นตอนการใช้สิทธิ พร้อมรายชื่อโรงพยาบาลที่สามารถไปใช้สิทธิได้ เพื่อให้ผู้ประกันตน เข้าใจและไปใช้สิทธิการรักษาได้ถูกต้องในบทความนี้ค่ะ ^^
ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ
สิทธิการรักษาประกันสังคม 7 วิธีการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด ครอบคลุมอะไรบ้าง?
สิทธิการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดนี้ ครอบคลุมการรักษาทั้งโรคหัวใจประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจล้มเหลว ด้วย 7 วิธีการรักษา ดังต่อไปนี้
- การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (CAG)
- เป็นการตรวจเพื่อดูหลอดเลือดหัวใจว่ามีการตีบหรืออุดตันหรือไม่ โดยฉีดสารพิเศษเข้าไปและใช้เอกซเรย์ดูผล
- วิธีนี้มักใช้วินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บหน้าอกและภาวะหัวใจขาดเลือด
- การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (CAG+PCI)
- เป็นการแก้ไขหลอดเลือดหัวใจที่ตีบหรืออุดตันด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดเพื่อให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบที่อาจเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือด
- การจี้ไฟฟ้าหัวใจ (EPS with RFCA)
- วิธีรักษาผู้ที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะโดยการจี้ทำลายส่วนที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ
- การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยระบบสามมิติ (EPS with 3D mapping)
- วิธีการรักษาที่ใช้ภาพสามมิติช่วยเพิ่มความแม่นยำในการแก้ไขปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะซับซ้อน
- การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจถาวร (Permanent pacemaker)
- เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ช่วยควบคุมจังหวะหัวใจให้ปกติ
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่หัวใจเต้นช้าผิดปกติ
- การใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจถาวร (AICD)
- อุปกรณ์ช่วยตรวจจับและช็อกหัวใจในกรณีที่เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- เครื่องกระตุ้นหัวใจในภาวะหัวใจล้มเหลว (CRTP/CRTD)
- อุปกรณ์ช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้น ลดอาการเหนื่อยง่าย
- เหมาะสำหรับ: ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่อยู่ในข่ายภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสามารถเข้ารับการรักษาด้วยสิทธินี้ได้เช่นกัน โดยควรได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างใกล้ชิด → อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
ใครใช้สิทธินี้ได้บ้าง?
1. เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33, 39 (ไม่รวมประกันสังคมมาตรา 40) ที่ส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 3 เดือน
เช็คสิทธิของคุณได้ที่นี่ ( สปสช. และ ปกส.)
2. เป็นผู้ประกันตนที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์และมีข้อบ่งชี้ว่า จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วยกลุ่ม 7 วิธีนี้สอบถามเจ้าหน้าที่เรื่อง 7 วิธีการ/หัตถการ การรักษาโรคหัวใจ
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับปัญหาลิ้นหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือลิ้นหัวใจตีบ ซึ่งอยู่ในขอบข่ายการรักษาโดยใช้สิทธิประกันสังคม → ดูรายละเอียดโรคลิ้นหัวใจเพิ่มเติม
ใช้สิทธิได้ที่ไหน?
เนื่องจากทางภาครัฐต้องการให้ผู้ป่วยโรคที่ต้องการการรักษาเร่งด่วน จึงร่วมมือกันกับทางรพ.เอกชน ทำโครงการนี้ขึ้น เพื่อช่วยให้คนไข้เข้าถึงการรักษาได้ไว ไม่ให้โรครุนแรงมากขึ้นจากการรอคอย
คนไข้ไม่จำเป็นใช้รพ.ตามสิทธิประกันสังคมของตนเอง แต่สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่รพ.ที่มีศักยภาพที่เข้าร่วมกับประกันสังคม ซึ่งปัจจุบัน มีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่
ลำดับที่ | ชื่อโรงพยาบาล | จังหวัดที่ตั้ง |
---|---|---|
1 | รพ.กรุงไทยเวสเทิร์น | นนทบุรี |
2 | รพ.จุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ | สมุทรปราการ |
3 | รพ.เทพธารินทร์ | กรุงเทพมหานคร |
4 | รพ.เกษมราษฎร์บางแค | กรุงเทพมหานคร |
5 | รพ.เวิลด์เมดิคอล | นนทบุรี |
6 | รพ.วิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล หนองแขม | กรุงเทพมหานคร |
7 | รพ.ศิครินทร์ | กรุงเทพมหานคร |
8 | รพ.วิภาราม | กรุงเทพมหานคร |
9 | รพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น | กรุงเทพมหานคร |
10 | รพ.พญาไท นวมินทร์ | กรุงเทพมหานคร |
11 | รพ.บางปะกอก 9 อินเตอร์ | กรุงเทพมหานคร |
12 | รพ.เพชรเวช | กรุงเทพมหานคร |
13 | รพ.ไทยนครินทร์ | กรุงเทพมหานคร |
14 | รพ.กล้วยน้ำไท | กรุงเทพมหานคร |
15 | รพ.เกษมราษฎร์ รามคำแหง | กรุงเทพมหานคร |
16 | รพ.แพทย์รังสิต | ปทุมธานี |
17 | รพ.ราชธานี | พระนครศรีอยุธยา |
18 | รพ.วิภาราม ปากเกร็ด | นนทบุรี |
19 | รพ.ภัทร-ธนบุรี | ปทุมธานี |
20 | รพ.เกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ | เชียงราย |
21 | รพ.สรรพสิทธิประสงค์ | อุบลราชธานี |
22 | รพ.พัทลุง | พัทลุง |
23 | รพ.กรุงเทพหาดใหญ่ | สงขลา |
24 | รพ.มงกุฎวัฒนะ | กรุงเทพมหานคร |
25 | รพ.รามาธิบดี | กรุงเทพมหานคร |
26 | รพ.กรุงเทพภูเก็ต | ภูเก็ต |
27 | รพ.ซีจีเอช สายไหม | กรุงเทพมหานคร |
28 | รพ.บุรีรัมย์ | บุรีรัมย์ |
29 | รพ.ระยอง | ระยอง |
30 | รพ.กรุงเทพราชสีมา | นครราชสีมา |
31 | รพ.กรุงเทพสนามจันทร์ | นครปฐม |
32 | รพ.เกษมราษฎร์อินเตอร์ รัตนาธิเบศร์ | นนทบุรี |
33 | รพ.รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ | กรุงเทพมหานคร |
34 | รพ.วชิระภูเก็ต | ภูเก็ต |
35 | รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ | เชียงราย |
36 | รพ.หัวเฉียว | กรุงเทพมหานคร |
37 | รพ.มหาชัยเพชรรัชต์ | เพชรบุรี |
38 | รพ.สุราษฎร์ธานี | สุราษฎร์ธานี |
39 | รพ.เปาโล พหลโยธิน | กรุงเทพมหานคร |
40 | รพ.ราชวิถี | กรุงเทพมหานคร |
มีขั้นตอนการใช้สิทธิอย่างไร?
1) ขั้นตอนก่อนเข้ารับการรักษาตามสิทธิประกันสังคม
เบื้องต้น ผู้ประกันตนต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัย เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อประเมินภาวะผิดปกติของหัวใจเบื้องต้น โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมในการเข้ารับบริการในขั้นตอนถัดไป
2) ขั้นตอนการเข้ารับการรักษาตามสิทธิประกันสังคม
- เมื่อผู้ประกันตนได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ ว่าจำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคหัวใจ ทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจล้มเหลว ด้วย 7 วิธีดังกล่าว ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 40 แห่งทั่วประเทศด้านบน เพื่อคัดเลือกโรงพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษา
(หรือหากไม่แน่ใจสามารถสอบได้ที่ Line “@themedicative“) - เตรียมเอกสาร 2 ส่วนได้แก่
- บัตรประจำตัวประชาชน: รวมถึงบัตรประกันสังคม (ถ้ามี)
- ประวัติการรักษา: โดยมีการระบุจากแพทย์ว่าต้องเข้ารับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดด้วย 7 วิธีการรักษา
- ใบส่งตัว (ถ้ามี)
- ติดต่อโรงพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษา พร้อมให้ข้อมูลประวัติการรักษาเพื่อทำนัดหมาย
- เข้ารับการรักษาตามนัดหมาย โดยยื่นเอกสารทั้ง 2 ส่วนให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเข้าข่ายภาวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือมีอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน แพทย์จะเป็นผู้วางแผนแนวทางรักษา โดยอาจรวมถึงการทำ CAG หรือสวนหัวใจ