Table of Contents
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องดูแลต่อเนื่อง การใช้ “ยาเบาหวาน” จึงเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไตวาย หรือปัญหาหลอดเลือดต่าง ๆ
ยาเบาหวานมีหลายกลุ่ม ทั้งยารับประทานและยาฉีด แต่ละชนิดมีข้อดี ข้อควรระวัง และผลกระทบที่ต่างกัน หากคุณหรือคนใกล้ตัวเพิ่งเริ่มต้นรักษาโรคเบาหวาน การเข้าใจวิธีใช้ยาและผลข้างเคียงจึงเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ
ยาเบาหวาน สิ่งที่ผู้ป่วยควรรู้ก่อนเริ่มใช้
ภาพรวมที่ควรเข้าใจก่อน
- เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องดูแลระยะยาว เป้าหมายคือ คุมระดับน้ำตาลให้ใกล้ค่าปกติอย่างปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงต่อ หัวใจ ไต ตา และหลอดเลือด
- “ยาเบาหวาน” มีทั้ง ยารับประทาน และ ยาฉีด (เช่น GLP-1 RA, อินซูลิน) โดยแต่ละกลุ่มมี จุดเด่น-ข้อควรระวัง ต่างกัน จึงควรเลือกตาม สุขภาพไต หัวใจ น้ำหนักตัว อายุ และ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ของเรา
- แนวทางปฏิบัติจริงคือ เริ่มจากเป้าหมายสุขภาพของเรา (เช่น อยากลดน้ำหนักด้วยไหม, มีโรคไตร่วมไหม) แล้วเลือกยาที่ “ได้ประโยชน์พิเศษ” ต่ออวัยวะนั้น ๆ พร้อมติดตามผลเลือดตามกำหนด
ยาเบาหวาน ส่งผลผลต่อตับ ไต หัวใจ
แม้ยาจะช่วยคุมหวาน แต่ต้องระวังผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญเสมอ
ตับ
- ยาที่ควรระวัง:
- Sulfonylureas และ Thiazolidinediones (เช่น pioglitazone) อาจกระทบค่าการทำงานของตับ
- Sulfonylureas และ Thiazolidinediones (เช่น pioglitazone) อาจกระทบค่าการทำงานของตับ
- เมื่อไหร่ต้องตรวจค่าตับ (LFTs): ก่อนเริ่มยาในผู้ที่มีประวัติตับอักเสบ ไขมันพอกตับ ดื่มแอลกอฮอล์สม่ำเสมอ หรือเคยมีค่าตับผิดปกติ
- สัญญาณเตือน: อ่อนเพลีย เหลือง คันตามตัว ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด—หยุดยาและพบแพทย์ค่ะ
ไต
- Metformin: ใช้ได้ดีถ้าไตทำงานปกติ แต่ หลีกเลี่ยง เมื่อ eGFR < 30 mL/min/1.73m² และ ทบทวนความเหมาะสม เมื่อ eGFR < 45 ค่ะ
- SGLT2 inhibitors: ช่วยปกป้องไตในผู้เป็นเบาหวานที่มี CKD (มักใช้ได้ตั้งแต่ eGFR ≥ ประมาณ 20–25 ขึ้นไป ขึ้นกับแต่ละตัว)
- ติดตามผล: ตรวจ eGFR/Cr อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (หรือถี่กว่านั้นถ้ามี CKD) เพื่อปรับยาทันเวลา
หัวใจ
- GLP-1 RA (เช่น liraglutide, semaglutide) ลดเหตุการณ์หลอดเลือดหัวใจในผู้เสี่ยงสูง
- SGLT2 inhibitors ลดความเสี่ยงหัวใจล้มเหลว เข้าโรงพยาบาลซ้ำ และชะลอไตทรุด
- ใครได้ประโยชน์มาก: ผู้ที่มีโรคหัวใจ ขาดเลือด หัวใจล้มเหลว หรือ CKD ร่วมด้วยค่ะ
สรุปสั้น: บอกแพทย์เสมอว่ามี โรคตับ-ไต-หัวใจ หรือไม่ เพื่อให้ได้ยาที่ “ช่วยได้มากกว่าแค่ลดน้ำตาล” และปลอดภัยกับอวัยวะของเราค่ะ
ยา Metformin ดีจริงไหม
คำตอบคือ ใช่ค่ะ เพราะมีงานวิจัยมากมายยืนยันว่า Metformin ช่วยลดน้ำตาล ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และยังช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ แต่ต้องใช้ตามคำแนะนำแพทย์ และตรวจการทำงานของไตเป็นระยะเพื่อความปลอดภัยค่ะ
ยา Metformin ประโยชน์และผลข้างเคียง
ประโยชน์ (ทำไมจึงนิยมเป็นยาตัวแรก)
- ลดการสร้างกลูโคสจากตับ และเพิ่มความไวต่ออินซูลิน
- ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น (บางรายน้ำหนักอาจลงเล็กน้อย)
- ความเสี่ยงน้ำตาลต่ำต่ำมาก เมื่อใช้เดี่ยว ๆ
- ราคาเข้าถึงง่าย และอยู่ในแนวทางมาตรฐาน
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย และวิธีรับมือ
- ท้องอืด คลื่นไส้ ท้องเสีย (มักเป็นช่วงแรก) → เริ่มขนาดต่ำ ค่อย ๆ ไตเตรท และทานพร้อมอาหาร
- เลือกสูตรออกฤทธิ์ยาว (XR/ER) เพื่อลดอาการทางทางเดินอาหาร
- หากอาการไม่ดีขึ้นหลัง 2–4 สัปดาห์ ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาปรับสูตร/ขนาด
ข้อควรระวังสำคัญ
- ไตเสื่อมมาก (eGFR < 30), ตับวาย, ภาวะพร่องออกซิเจนหรือช็อก → หลีกเลี่ยง
- ก่อน ฉีดสารทึบรังสี (contrast), ผ่าตัดใหญ่, ติดเชื้อรุนแรง → อาจต้อง “พักยา” ชั่วคราวและประเมินไตซ้ำตามคำสั่งแพทย์
- ภาวะ กรดแลคติก พบได้น้อยมาก แต่ควรรู้สัญญาณเตือน เช่น อ่อนเพลียมาก หายใจเร็ว เจ็บกล้ามเนื้อผิดปกติ—รีบพบแพทย์
ยา GLP-1 RA กับการควบคุมน้ำตาลและน้ำหนัก
ข้อดี
- ลดน้ำตาลได้ดีโดยเฉพาะ หลังอาหาร
- ช่วยลดน้ำหนัก ผ่านกลไกเพิ่มความอิ่มและชะลอการล้างกระเพาะ
- หลายตัวมีข้อมูล ลดเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือด ในผู้เสี่ยงสูง
ข้อควรระวัง
- คลื่นไส้ อาเจียนในช่วงเริ่มต้น → ไตเตรทช้า ๆ จะทนยาได้ดีขึ้น
- ราคาโดยรวมสูงกว่ายากลุ่มอื่น และเป็น ยาฉีด (ส่วน semaglutide มีสูตรรับประทานในบางประเทศ)
- ระวังในผู้เคยมีตับอ่อนอักเสบ/โรคนิ่วในถุงน้ำดี (ควรปรึกษาแพทย์เป็นรายคน)
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ น้ำหนักเกิน/อ้วน, ผู้มี ASCVD หรือเสี่ยงสูงด้านหัวใจ และผู้ที่ต้องการคุมหวานแบบไม่เพิ่มน้ำหนักค่ะ
ยา SGLT2 inhibitors กับการป้องกันโรคไต
ข้อดี
- ลดน้ำตาลโดยขับออกทางปัสสาวะ
- ลดการทรุดของไต และ ลดหัวใจล้มเหลวเข้าโรงพยาบาล แม้ในบางกลุ่มที่ eGFR ลดลงแล้ว (ขึ้นกับชนิดยา)
- มักช่วยลดความดันเล็กน้อยและน้ำหนักเล็กน้อย
ข้อควรระวัง
- เสี่ยง ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ/เชื้อราบริเวณอวัยวะเพศ → ดูแลสุขอนามัย ดื่มน้ำพอ
- ระวัง ภาวะคีโตแอซิโดซิสชนิดน้ำตาลไม่สูง (euglycemic DKA) ในภาวะอดอาหาร/ผ่าตัด/เจ็บป่วยรุนแรง → หยุดยาชั่วคราวตามคำแนะนำแพทย์ (มักล่วงหน้า 3–4 วันก่อนผ่าตัดใหญ่)
- ประสิทธิภาพลดน้ำตาลจะลดลงเมื่อ eGFR ต่ำมาก แต่ ประโยชน์ต่อไต/หัวใจ อาจยังมีอยู่ ตามตัวผลิตภัณฑ์และดุลยพินิจแพทย์ค่ะ
ควรเริ่มต้นใช้ยาเบาหวานเมื่อไร
คุณหมอจะพิจารณาเริ่มยาเมื่อ…
- ปรับอาหารและออกกำลังกาย “เต็มที่แล้ว” แต่ ค่าน้ำตาลยังเกินเป้าหมาย
- HbA1c > 6.5–7% ต่อเนื่อง (หมอจะกำหนดเป้าหมายส่วนบุคคล เช่น ผู้สูงอายุอาจตั้งเป้าหมายผ่อนปรน)
- มีโรคร่วมหรือความเสี่ยงสูง (หัวใจ ไต ความดัน ไขมันสูง) ที่ ได้ประโยชน์เฉพาะ จาก GLP-1 RA หรือ SGLT2 inhibitors
- เริ่มอินซูลินทันที หาก A1C สูงมาก (เช่น >10%), น้ำตาลสุ่มสูงมาก (≥300 mg/dL), น้ำหนักลดเร็ว ปัสสาวะมาก กระหายน้ำมาก หรือมีคีโตแอซิโดซิส
ข้อดีของการ “ไม่ปล่อยให้น้ำตาลสูงนาน” คือป้องกันพิษจากน้ำตาล และช่วยให้ตับอ่อนทำงานคงที่ขึ้นในระยะยาว
คุมเบาหวานโดยไม่ใช้ยา เป็นไปได้ไหม
- เป็นไปได้ ในผู้ที่เพิ่งวินิจฉัย ระดับน้ำตาลไม่สูงมาก และพร้อมปรับพฤติกรรมอย่างเข้มข้น (ลดน้ำหนัก 5–10%, ออกกำลังกาย ≥150 นาที/สัปดาห์ + เวท 2–3 วัน, ปรับโภชนาการ)
- หลักคือวัดผล: ตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือนในระยะแรก ถ้า “ยังไม่ถึงเป้าหมาย” ควรเริ่มยาเพื่อ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ไม่ควรดึงเวลาค่ะ
เมื่อคุมดีสม่ำเสมอ อาจ ลดขนาด/จำนวนยา ภายใต้การดูแลของแพทย์ได้
ลดน้ำตาลโดยไม่ต้องใช้ยา ทำอย่างไรให้ได้ผลจริง
- โภชนาการแบบสมดุล:
- จัดสัดส่วนจาน ½ ผัก ¼ โปรตีน ¼ คาร์บเชิงซ้อน
- เลี่ยงน้ำหวาน ขนม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกิน
- คุมปริมาณแป้ง/ข้าวในมื้อหลักและของว่าง
- จัดสัดส่วนจาน ½ ผัก ¼ โปรตีน ¼ คาร์บเชิงซ้อน
- การออกกำลังกาย:
- แอโรบิก (เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ) รวม ≥150 นาที/สัปดาห์
- เวทเทรนนิง 2–3 วัน/สัปดาห์ เพื่อเพิ่มความไวอินซูลิน
- แอโรบิก (เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ) รวม ≥150 นาที/สัปดาห์
- พฤติกรรมเสริม:
- นอน 7–8 ชม./คืน, จัดการความเครียด (หายใจลึก สมาธิสั้น ๆ)
- ติดตามน้ำหนัก รอบเอว และบันทึกอาหาร/กิจกรรม
- นอน 7–8 ชม./คืน, จัดการความเครียด (หายใจลึก สมาธิสั้น ๆ)
- เส้นตายตัดสินใจ: หากทำครบ 12 สัปดาห์แล้วยังไม่ถึงเป้าหมาย → ปรับแผนและพิจารณาเริ่มยาค่ะ
ปรับยาเมื่อออกกำลังกาย หรืออดอาหาร
- ออกกำลังกาย (โดยเฉพาะหนัก/นาน):
- ถ้าใช้ อินซูลิน หรือ sulfonylurea → เช็กน้ำตาลก่อน-หลัง ปรับลดอินซูลินมื้อก่อนออกกำลัง หรือรับคาร์บก่อนเริ่ม ตามแพทย์สั่ง
- พก “คาร์บเร็ว” ติดตัว (กลูโคสแท็บเล็ต/น้ำหวาน) และระวังน้ำตาลต่ำระหว่าง-หลังการออกกำลัง
- ถ้าใช้ อินซูลิน หรือ sulfonylurea → เช็กน้ำตาลก่อน-หลัง ปรับลดอินซูลินมื้อก่อนออกกำลัง หรือรับคาร์บก่อนเริ่ม ตามแพทย์สั่ง
- อดอาหาร/เว้นช่วงมื้อ (IF/ทำบุญ/รอมฎอน):
- แจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อวางแผนปรับ ชนิด-ขนาด-เวลา ของยา
- ยาที่ “เสี่ยงน้ำตาลต่ำ” (อินซูลิน, sulfonylurea) มักต้องปรับมากกว่ายากลุ่ม Metformin, DPP-4, SGLT2, GLP-1
- เฝ้าระวังอาการน้ำตาลต่ำและ ดื่มน้ำพอ โดยเฉพาะถ้าใช้ SGLT2
- แจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อวางแผนปรับ ชนิด-ขนาด-เวลา ของยา
อาการน้ำตาลต่ำจากยาเบาหวาน
- สัญญาณเตือน: มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออก หิวเฉียบพลัน หน้ามืด มึนงง สับสน (รุนแรงอาจชัก/หมดสติ)
- แก้อาการน้ำตาลต่ำฉุกเฉิน ด้วยกฎ 15-15
- รับ คาร์บเร็ว 15 กรัม (กลูโคสแท็บเล็ต ~3–4 เม็ด, น้ำผลไม้/น้ำอัดลมหวาน ~½ กระป๋อง)
- รอ 15 นาที แล้วเช็กซ้ำ—ถ้ายังต่ำ ทำซ้ำอีกครั้ง
- เมื่อดีขึ้น ให้กินคาร์บออกฤทธิ์นาน (แซนด์วิช/นม) ป้องกันตกซ้ำ
- รับ คาร์บเร็ว 15 กรัม (กลูโคสแท็บเล็ต ~3–4 เม็ด, น้ำผลไม้/น้ำอัดลมหวาน ~½ กระป๋อง)
- ผู้ที่เสี่ยงสูง (ใช้หลายยาร่วม, ใช้อินซูลิน, สูงอายุ) → ควรให้คนในบ้านรู้วิธีช่วย และพก กลูคากอน ตามแพทย์สั่ง
แนะนำการเดินทางและการใช้ยาเบาหวาน
- แพ็กของ: ยาประจำตัว (เผื่อเกินอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์), เข็ม/ปากกาฉีด, กลูโคสแท็บเล็ต, เครื่องตรวจน้ำตาล/แถบตรวจ, สมุดบันทึก, ใบรับรองแพทย์
- อินซูลิน & ความเย็น:
- ขวด/ปากกาที่ยังไม่เปิด: เก็บ 2–8°C (ในกระเป๋าเย็น/คูลแพ็ก หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำแข็งโดยตรง)
- ที่เปิดใช้แล้ว: เก็บอุณหภูมิห้องตามฉลาก (หลีกเลี่ยงร้อนจัด/แช่แข็ง และแสงแดด)
- ขวด/ปากกาที่ยังไม่เปิด: เก็บ 2–8°C (ในกระเป๋าเย็น/คูลแพ็ก หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำแข็งโดยตรง)
- ข้ามโซนเวลา:
- ยากิน: ยึด “ชั่วโมงตื่น-นอน” ของปลายทางเป็นหลัก ค่อย ๆ ขยับเวลาให้สอดคล้อง
- อินซูลินพื้นฐาน (basal): ปรับเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามคำสั่งแพทย์ (มักขยับทีละ 1–2 ชม./วัน จนเข้าที่)
- ยากิน: ยึด “ชั่วโมงตื่น-นอน” ของปลายทางเป็นหลัก ค่อย ๆ ขยับเวลาให้สอดคล้อง
- เวลาขึ้นเครื่อง:
- พกยาไว้กับตัว (Carry-on) เสมอ กันสูญหาย/อุณหภูมิแปรปรวนใต้ท้องเครื่อง
- ผ่านจุดตรวจสนามบิน: แสดงใบรับรอง/ฉลากยาได้ ไม่ต้องผ่านเอกซเรย์สำหรับเครื่องตรวจน้ำตาล/อินซูลินปั๊มบางรุ่น (ดูคู่มืออุปกรณ์)
- พกยาไว้กับตัว (Carry-on) เสมอ กันสูญหาย/อุณหภูมิแปรปรวนใต้ท้องเครื่อง
- แผนสำรอง: เตรียมรายชื่อโรงพยาบาล/คลินิกปลายทาง ประกันการเดินทาง และสำเนาใบสั่งยาในโทรศัพท์ค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาเบาหวาน
Q1 : ยาเบาหวานทำให้ตับพังจริงไหม?
ไม่จำเป็นค่ะ ยาบางชนิดอาจมีผลต่อตับ แต่แพทย์จะตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อความปลอดภัย
Q2 : กิน Metformin แล้วท้องเสีย ควรทำอย่างไร?
ท้องเสียเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อย แนะนำให้ทานหลังอาหารหรือเริ่มจากขนาดต่ำก่อน หากไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ค่ะ
Q3 : ถ้าออกกำลังกายเยอะ ต้องหยุดยาเบาหวานไหม?
ไม่ควรหยุดเอง แต่สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาหรือชนิดยาได้
Q4 : ยาเบาหวานชนิดฉีดดีกว่ากินไหม?
ไม่เสมอไปค่ะ ยาฉีดบางกลุ่มเช่น GLP-1 RA เหมาะกับบางคนที่น้ำตาลควบคุมยากหรือมีโรคร่วม แพทย์จะเป็นผู้ประเมินค่ะ
Q5 : ใช้ SGLT2 inhibitors ต้องดื่มน้ำเยอะไหม?
ใช่ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะค่ะ
Q6 : เดินทางต่างประเทศต้องพกยาเบาหวานอย่างไร?
ควรพกในกระเป๋าถือ ไม่โหลดใต้เครื่อง และมีใบรับรองแพทย์หากพกอินซูลินค่ะ
สรุป
การใช้ยาเบาหวานไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน การเข้าใจข้อดี ข้อควรระวัง และวิธีใช้ยาอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมโรคได้อย่างมั่นใจ หากคุณมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อการใช้ยาที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดค่ะ


