สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

ตรวจเบาหวานแบบไหนแม่นที่สุด วิธีตรวจ กลุ่มเสี่ยงที่ควรรู้

Share
ตรวจเบาหวานแบบไหนแม่นที่สุด วิธีตรวจ กลุ่มเสี่ยงที่ควรรู้

Table of Contents

หลายคนอาจเข้าใจว่าแค่ตรวจน้ำตาลปลายนิ้วก็เพียงพอแล้วสำหรับการตรวจเบาหวาน แต่ในความเป็นจริง การตรวจเบาหวานมีหลายรูปแบบ และแต่ละแบบก็มีวัตถุประสงค์ต่างกันค่ะ การรู้ว่าควรตรวจอะไรบ้าง เมื่อไร และใครบ้างที่ควรตรวจ จะช่วยให้การวินิจฉัยและการติดตามผลเป็นไปอย่างแม่นยำและปลอดภัย

กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ใครบ้างควรตรวจ

ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องตรวจเบาหวานบ่อย ๆ แต่กลุ่มเสี่ยงควรตรวจอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่

  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป

  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน

  • ผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือ BMI ≥ 25

  • ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดผิดปกติ

  • ผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • ผู้ที่มีอาการเข้าข่าย เช่น ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำมาก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

การตรวจในกลุ่มเสี่ยงช่วยให้ค้นพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต

ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจอะไรบ้าง

ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจอะไรบ้าง

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานแล้ว ไม่เพียงแต่ต้องตรวจน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง แต่ยังควรตรวจสุขภาพด้านอื่น ๆ เป็นประจำ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่มักเกิดร่วมกับโรคเบาหวาน ได้แก่

1. สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวาน ควรตรวจเป็นประจำ

  • ระดับน้ำตาลในเลือด (FPG, HbA1c)
    เพื่อติดตามผลการควบคุมน้ำตาล ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

  • ความดันโลหิต
    วัดทุกครั้งที่พบแพทย์หรือวัดเองที่บ้านเพื่อลดโอกาสเกิดโรคไตและโรคหัวใจ

  • น้ำหนักและรอบเอว
    ช่วยประเมินภาวะอ้วนลงพุงซึ่งสัมพันธ์กับเบาหวานและไขมันผิดปกติ

2. สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวาน ควรตรวจเพิ่มเติมประจำปี

  • ระดับไขมันในเลือด (LDL, HDL, Triglyceride)
    ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงโรคหัวใจสูง การตรวจไขมันทุกปีช่วยวางแผนการรักษา

  • การทำงานของไต (eGFR, microalbuminuria)
    คัดกรองโรคไตเรื้อรังในระยะแรก ป้องกันไม่ให้ลุกลามจนถึงไตวาย

  • การตรวจตาโดยจักษุแพทย์
    เพื่อหาภาวะเบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งหากตรวจพบเร็วสามารถรักษาและชะลอความเสื่อมได้

  • การตรวจเท้าและระบบประสาทส่วนปลาย
    ตรวจหาความผิดปกติของประสาทและการไหลเวียนเลือดที่เท้า ลดความเสี่ยงเกิดแผลเบาหวาน

  • การตรวจการทำงานของหัวใจ (เช่น ECG)
    เหมาะกับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันสูง ไขมันสูง หรือมีประวัติครอบครัวโรคหัวใจ

  • การตรวจความยืดหยุ่นของหลอดเลือด (Vascular Stiffness Test)
    ประเมินว่าหลอดเลือดยังยืดหยุ่นดีหรือเริ่มแข็งตัว ซึ่งช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในอนาคต

ตรวจสุขภาพประจำปี ควรขอตรวจน้ำตาลตัวไหน

  • Fasting Plasma Glucose (FPG): คือการตรวจน้ำตาลหลังงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ใช้ประเมินค่าพื้นฐานของระดับน้ำตาลในเลือดปัจจุบัน

  • HbA1c: เป็นการตรวจที่สะท้อนค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือดย้อนหลัง 2–3 เดือน เหมาะกับการติดตามผลระยะยาว และประเมินว่าผู้ป่วยควบคุมเบาหวานได้ดีหรือไม่

ตรวจพบเบาหวานครั้งแรก ต้องตรวจอะไรอีกบ้าง

หากตรวจพบว่าเป็นเบาหวานครั้งแรก แพทย์มักจะให้ตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเสี่ยงโดยรวม ได้แก่

  • การตรวจการทำงานของตับและไต
    โรคเบาหวานมีผลโดยตรงต่อไต และผู้ป่วยบางรายอาจมีไขมันพอกตับหรือภาวะตับเสื่อมร่วมด้วยตั้งแต่ยังไม่รู้ตัว การตรวจค่าการทำงานของไต (เช่น eGFR, Creatinine) และตับ (เช่น SGOT, SGPT) ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้ตรงจุด ป้องกันไตวายและโรคตับในระยะยาว

  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
    ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงโรคหัวใจมากกว่าคนทั่วไป หากมีอาการผิดปกติหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง หรือสูบบุหรี่ แพทย์มักแนะนำให้ตรวจ ECG เพื่อหาความผิดปกติของการทำงานหัวใจแต่เนิ่น ๆ

  • ตรวจดวงตาโดยจักษุแพทย์
    ภาวะเบาหวานขึ้นจอตามักเกิดขึ้นโดยไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้จนสายตาพร่ามัว อาจรักษายากและเสี่ยงตาบอดถาวร การตรวจดวงตาตั้งแต่ปีแรกที่วินิจฉัยโรคจึงสำคัญมาก

  • ตรวจเท้าและระบบประสาทส่วนปลาย
    เบาหวานอาจทำให้เส้นประสาทปลายเท้าเสื่อม ส่งผลให้เทาชา ไม่รู้สึกเจ็บ และเสี่ยงเกิดแผลเรื้อรัง การตรวจเท้าและระบบประสาทส่วนปลายช่วยคัดกรองความเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อให้ดูแลเท้าได้อย่างเหมาะสม ป้องกันการติดเชื้อและการถูกตัดขา

การตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวาน ตรวจแบบไหนแม่นที่สุด

วิธีตรวจที่ใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานมีหลายแบบ เช่น

  • FPG (Fasting Plasma Glucose) ≥ 126 mg/dL

  • OGTT (Oral Glucose Tolerance Test) น้ำตาล 2 ชั่วโมง ≥ 200 mg/dL

  • HbA1c ≥ 6.5%

  • Random Plasma Glucose ≥ 200 mg/dL (ร่วมกับอาการ)

ในทางปฏิบัติ แพทย์มักใช้การตรวจ HbA1c และ OGTT เป็นมาตรฐาน เพราะสะท้อนการควบคุมน้ำตาลได้แม่นยำที่สุดค่ะ

วิธีการตรวจน้ำตาล มีกี่แบบ เครื่องมือไหนที่เหมาะกับคุณ

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลโรคเบาหวาน เพราะช่วยให้ผู้ป่วยรู้ทันความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และสามารถปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม ปัจจุบันมี 2 วิธีหลักที่นิยมใช้ ได้แก่ การตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว และ การตรวจด้วย Continuous Glucose Monitoring (CGM) โดยแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้

วิธีการตรวจน้ำตาล มีกี่แบบ?

1. การตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว (Fingerstick Blood Glucose)

เป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด อาศัยเครื่องเจาะน้ำตาลขนาดพกพา (Glucometer) โดยหยดเลือดจากปลายนิ้วลงบนแถบตรวจแล้วเครื่องจะวัดระดับน้ำตาลออกมา

  • ความถี่ในการตรวจ

    • ผู้ที่ใช้อินซูลิน: ควรตรวจวันละ 3–4 ครั้ง เช่น ก่อนอาหาร หลังอาหาร และก่อนนอน

    • ผู้ที่ใช้ยาเม็ดหรือควบคุมด้วยพฤติกรรม: อาจตรวจวันละ 1–2 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ขึ้นกับการควบคุมระดับน้ำตาลและคำแนะนำแพทย์

  • ข้อดี

    • สะดวก ใช้ง่าย ทำได้เองที่บ้าน

    • ค่าใช้จ่ายไม่สูง เครื่องตรวจมีราคาไม่แพง

    • ใช้เป็นมาตรฐานทั่วไป

  • ข้อจำกัด

    • ได้ค่าเฉพาะช่วงเวลาที่ตรวจ ไม่สะท้อนแนวโน้มตลอดวัน

    • ต้องเจาะหลายครั้ง ทำให้บางคนรู้สึกเจ็บและไม่สะดวก

2. การตรวจด้วย Continuous Glucose Monitoring (CGM)

CGM เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยติดตามระดับน้ำตาลแบบเรียลไทม์ โดยมีเซนเซอร์เล็ก ๆ ฝังไว้ใต้ผิวหนัง (บริเวณหน้าท้องหรือแขน) เซนเซอร์จะตรวจระดับกลูโคสในน้ำระหว่างเซลล์อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และส่งข้อมูลไปยังสมาร์ทโฟนหรือเครื่องอ่าน

  • เหมาะกับใคร

    • ผู้ที่ใช้อินซูลินแบบปั๊ม

    • ผู้ที่มีระดับน้ำตาลขึ้นลงรวดเร็ว ไม่คงที่

    • ผู้ที่ต้องการติดตามน้ำตาลอย่างละเอียด เช่น เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุที่ควบคุมยาก

  • ข้อดี

    • ติดตามแนวโน้มได้ทั้งวัน ไม่ใช่แค่จุดใดจุดหนึ่ง

    • ช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำหรือสูงเกินไปได้ทันเวลา

    • ผู้ป่วยและแพทย์เห็นข้อมูลแนวโน้ม ทำให้ปรับยาและอาหารได้แม่นยำขึ้น

  • ข้อจำกัด

    • ราคาสูงกว่าการตรวจปลายนิ้ว

    • ต้องเปลี่ยนเซนเซอร์ทุก 7–14 วัน

    • บางรุ่นยังคงต้องเจาะปลายนิ้วเพื่อยืนยันค่าบางครั้ง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจเบาหวาน

Q1 : ตรวจเบาหวานควรงดน้ำและอาหารก่อนหรือไม่?
ขึ้นอยู่กับชนิดการตรวจ เช่น FPG และ OGTT ต้องงดอาหาร 8 ชั่วโมง แต่ HbA1c ไม่จำเป็นค่ะ

Q2 : ตรวจ HbA1c กับตรวจน้ำตาลปลายนิ้วต่างกันอย่างไร?
HbA1c บอกค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2–3 เดือน ส่วนปลายนิ้วบอกค่าปัจจุบันค่ะ

Q3 : ควรตรวจเบาหวานกี่ครั้งต่อปี ถ้าไม่มีอาการ?
กลุ่มเสี่ยงควรตรวจทุกปี ส่วนคนทั่วไปอาจตรวจทุก 2–3 ปีค่ะ

Q4 : ถ้าเจาะน้ำตาลปลายนิ้วปกติ แปลว่าไม่เป็นเบาหวานแน่หรือไม่?
ไม่เสมอไป ต้องยืนยันด้วยการตรวจ FPG, HbA1c หรือ OGTT เพื่อความแม่นยำค่ะ

Q5 : Continuous Glucose Monitoring ใช้แทนการเจาะปลายนิ้วได้ไหม?
ยังไม่ 100% ค่ะ แม้ CGM สะดวก แต่แพทย์อาจยังให้เจาะปลายนิ้วเพื่อยืนยันค่าเป็นบางครั้ง

Q6 : ตรวจพบเบาหวานครั้งแรก ต้องตรวจตาเลยไหม?
ควรตรวจโดยจักษุแพทย์ภายใน 1 ปีแรกหลังวินิจฉัยค่ะ

Q7 : เด็กเล็กควรตรวจเบาหวานหรือไม่?
เด็กที่มีน้ำหนักเกินหรือมีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน ควรพิจารณาตรวจค่ะ

Q8 : ตรวจเบาหวานควรเริ่มตรวจตอนอายุเท่าไหร่?
คนทั่วไปควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น อ้วน มีประวัติครอบครัว หรือเป็นความดันสูง ควรตรวจเร็วกว่านั้น

Q9 : การตรวจ HbA1c ต้องงดอาหารก่อนหรือไม่?
ไม่จำเป็น เพราะ HbA1c เป็นการวัดค่าเฉลี่ยน้ำตาลย้อนหลัง 2–3 เดือน ไม่ขึ้นกับมื้ออาหารล่าสุด

Q10 : ตรวจน้ำตาลปลายนิ้วที่บ้าน แม่นยำเหมือนตรวจที่โรงพยาบาลหรือไม่?
แม่นยำพอสมควรหากใช้เครื่องและแถบตรวจที่มีคุณภาพ แต่ควรสอบเทียบกับผลตรวจจากโรงพยาบาลเป็นระยะ

Q11v: การตรวจ OGTT (ดื่มน้ำตาล) เหมาะกับใครบ้าง?
เหมาะกับผู้ที่ผล FPG หรือ HbA1c ยังไม่ชัดเจน หรือกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ เพราะ OGTT ตรวจพบความผิดปกติได้ละเอียดกว่า

สรุป

การตรวจเบาหวานไม่ได้มีแค่เจาะปลายนิ้ว แต่ครอบคลุมถึงการตรวจสุขภาพอื่น ๆ เช่น ตา ไต หลอดเลือด และไขมันในเลือด การรู้จักเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสม และติดตามค่าต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวค่ะ หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการที่สงสัย ควรเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยและเริ่มต้นการดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

No data was found

Subscribe and Follow

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า