สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

วิธีการรักษาเบาหวาน ยา อาหาร และทางเลือกใหม่ที่ควรรู้

Share
วิธีการรักษาเบาหวาน ยา อาหาร และทางเลือกใหม่ที่ควรรู้

Table of Contents

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถหายขาดได้ แต่สามารถ ควบคุมและรักษา เพื่อชะลอภาวะแทรกซ้อนและใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ โดยแนวทางการรักษาเบาหวานมีตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้ยา จนถึงเทคโนโลยีการรักษาสมัยใหม่ค่ะ

การรักษาเบาหวาน มียากิน ยาฉีด และทางเลือกอื่น

การรักษาเบาหวานไม่ได้มีรูปแบบเดียวที่ใช้ได้กับทุกคน แต่แพทย์จะพิจารณาตาม ชนิดของโรคเบาหวาน (ชนิดที่ 1, ชนิดที่ 2 หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์) รวมถึง ระดับความรุนแรงของโรค, ค่าระดับน้ำตาลในเลือด, ภาวะแทรกซ้อน และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เพื่อออกแบบการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยแนวทางหลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1. ยากินรักษาเบาหวาน

การใช้ยากินมักใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งร่างกายยังสามารถสร้างอินซูลินได้บ้าง แต่ไม่เพียงพอหรือใช้อินซูลินได้ไม่ดี ยากินแต่ละกลุ่มมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ได้แก่

  • Metformin
    เป็นยามาตรฐานอันดับแรกที่แพทย์นิยมใช้มากที่สุด เพราะมีประสิทธิภาพดีและผลข้างเคียงน้อย โดยทำงานโดย

    • ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ

    • ช่วยให้เซลล์ในร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น

    • ช่วยควบคุมน้ำหนัก ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มเหมือนยาบางชนิด
      เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เพิ่งเริ่มรักษา และยังมีน้ำตาลค่อนข้างคุมได้

  • Sulfonylureas
    เช่น Glibenclamide, Gliclazide เป็นยาที่ช่วยกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น จึงทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ข้อควรระวังคืออาจทำให้ น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ได้ และอาจมีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น

  • DPP-4 inhibitors
    เช่น Sitagliptin, Vildagliptin ยากลุ่มนี้ช่วยยับยั้งการสลายฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร ทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ทำให้น้ำตาลต่ำเกินไป ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ

  • SGLT2 inhibitors
    เช่น Empagliflozin, Dapagliflozin ช่วยลดการดูดกลับน้ำตาลที่ไต ทำให้น้ำตาลถูกขับออกทางปัสสาวะ จุดเด่นของยากลุ่มนี้คือ

    • ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและไตเสื่อม

    • อาจช่วยลดน้ำหนักและความดันโลหิตได้ด้วย
      แต่ต้องระวังการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

2. ยาฉีดอินซูลิน

อินซูลิน เป็นยาหลักในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (ที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่ได้เลย) และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ใช้ยากินแล้วไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีพอ โดยมีหลายรูปแบบให้เลือกตามความเหมาะสม

  • อินซูลินออกฤทธิ์สั้น (Rapid-acting insulin)
    ใช้ฉีดก่อนมื้ออาหารเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลหลังรับประทานอาหาร

  • อินซูลินออกฤทธิ์กลางและยาว (Intermediate/Long-acting insulin)
    ฉีดวันละครั้งหรือสองครั้ง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตลอดทั้งวัน

  • การใช้ Insulin pump (ปั๊มอินซูลิน)
    เป็นอุปกรณ์ที่ปล่อยอินซูลินเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและสามารถปรับปริมาณได้ตามความต้องการของร่างกาย วิธีนี้ช่วยให้ควบคุมน้ำตาลได้แม่นยำ ลดความเสี่ยงน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าและต้องดูแลอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ

3. ทางเลือกอื่นและการรักษาเสริม

นอกจากยากินและอินซูลินแล้ว ยังมีการรักษาเสริมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่

  • GLP-1 receptor agonist
    เช่น Liraglutide, Semaglutide เป็นยาฉีดที่เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมระดับน้ำตาล ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินเมื่อร่างกายต้องการ ลดความอยากอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี

  • การผ่าตัดลดความอ้วน (Bariatric surgery)
    สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะอ้วนรุนแรง (BMI สูง) และควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ แม้จะใช้ยาและปรับพฤติกรรมแล้ว งานวิจัยพบว่าการผ่าตัดลดความอ้วนสามารถทำให้ระดับน้ำตาลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บางรายอาจไม่ต้องใช้ยาอีกต่อไป

  • การใช้ CGM (Continuous Glucose Monitoring)
    เป็นเทคโนโลยีติดตามระดับน้ำตาลอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเซ็นเซอร์ที่ติดไว้ใต้ผิวหนัง ข้อดีคือ

    • เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของน้ำตาลแบบเรียลไทม์

    • แจ้งเตือนเมื่อค่าน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป

    • ช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์ปรับแผนการรักษาได้แม่นยำมากขึ้น

ดังนั้น การรักษาเบาหวานมีหลายวิธี ตั้งแต่ยากิน ยาฉีดอินซูลิน ไปจนถึงการรักษาเสริมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามชนิดของโรคและความเหมาะสมของผู้ป่วย การรักษาที่ดีควรมาพร้อมกับการปรับพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และติดตามระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอค่ะ

การควบคุมอาหาร หัวใจสำคัญของการรักษาเบาหวาน

การควบคุมอาหาร หัวใจสำคัญของการรักษาเบาหวาน

การควบคุมอาหารถือเป็น พื้นฐานของการรักษาเบาหวาน ที่ไม่สามารถละเลยได้ ไม่ว่าผู้ป่วยจะเพิ่งเริ่มเป็นหรืออยู่ในระยะที่ต้องใช้ยาร่วมด้วย การจัดการอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ หลักการสำคัญคือ กินให้พอดี เลือกชนิดอาหารให้ถูกต้อง และจัดสัดส่วนอาหารในแต่ละมื้อ โดยแนวทางมีดังนี้

  • เลือกทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
    เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืชไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีต และมันหวาน คาร์โบไฮเดรตชนิดนี้ย่อยช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นทีละน้อย และอิ่มได้นานกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวอย่างข้าวขาวหรือขนมหวาน

  • จำกัดน้ำตาลและอาหารหวานจัด
    น้ำตาล เครื่องดื่มรสหวาน น้ำอัดลม ขนมเค้ก หรือของหวานแบบไทย ล้วนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว หากอยากทานหวาน ควรเลือกผลไม้หวานน้อยแทน และหากจำเป็นต้องปรุง ควรใช้น้ำตาลในปริมาณน้อยที่สุด

  • เพิ่มผักและผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ
    เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิลเขียว ส้มโอ แตงกวา ฟักทอง และผักใบเขียวต่าง ๆ ช่วยเพิ่มใยอาหาร ทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง และยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้

  • เลือกโปรตีนไขมันต่ำ
    เช่น ปลา อกไก่ เต้าหู้ หรือไข่ขาว โปรตีนเป็นสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายและทำให้อิ่มนาน แต่ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนที่มีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น หนังไก่ หรือเนื้อสัตว์ติดมัน

  • ลดอาหารทอดและไขมันอิ่มตัว
    เช่น ของทอดกรอบ ๆ เนื้อสัตว์ติดมัน กะทิ และเนย ควรหันมาเลือกใช้น้ำมันที่ดีต่อหัวใจ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว และควรใช้น้ำมันในปริมาณน้อยในการปรุงอาหาร

สรุป การควบคุมอาหารไม่ใช่การงดจนตึงเครียด แต่คือการรู้จักเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ กำหนดปริมาณให้เหมาะสม และจัดสมดุลระหว่างคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เพื่อให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ

การออกกำลังกาย ยารักษาเบาหวานที่ไม่อยู่ในขวด

การออกกำลังกายเป็น “ยาที่ทรงพลัง” สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะช่วยให้ร่างกายใช้อินซูลินได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดน้ำตาลในเลือด และยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความดันโลหิต และเพิ่มสมรรถภาพหัวใจ

ผู้ป่วยเบาหวานควรออกกำลังกาย อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือประมาณวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน โดยควรเลือกแบบที่ทำได้ต่อเนื่อง ปลอดภัย และเหมาะกับสุขภาพของแต่ละคน เช่น

  • การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
    ช่วยเผาผลาญพลังงานและกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการออกกำลังแบบแอโรบิก

  • การฝึกเวทเทรนนิ่ง (Weight training)
    เช่น การยกดัมเบลหรือใช้ยางยืดออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งกล้ามเนื้อจะช่วยเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าไขมัน

  • การออกกำลังกายเบา ๆ สำหรับผู้สูงอายุ
    เช่น โยคะ ไทเก็ก หรือยืดเหยียดร่างกาย เพื่อเสริมความยืดหยุ่นและลดการบาดเจ็บ

การออกกำลังกายควรทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหม และควรตรวจระดับน้ำตาลก่อนและหลังออกกำลังเพื่อความปลอดภัย

ผู้ป่วยเบาหวานกับการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน

นอกจากยาและการออกกำลังกายแล้ว การดูแลตัวเองเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยเสริมให้การรักษาเบาหวานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่

  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
    อาจใช้วิธีเจาะปลายนิ้วด้วยเครื่องตรวจแบบพกพา หรือใช้ Continuous Glucose Monitoring (CGM) เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์

     

  • พักผ่อนเพียงพอและลดความเครียด
    การนอนหลับไม่พอหรือความเครียดสะสมอาจทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ ควรนอนวันละ 7–8 ชั่วโมง และหากเครียดควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมที่ชอบ

     

  • งดบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์
    เพราะทั้งสองสิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและทำให้ควบคุมเบาหวานได้ยากขึ้น

     

  • พบแพทย์ตามนัด
    เพื่อประเมินผลการรักษาและตรวจหาภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไต เบาหวานขึ้นตา และโรคหัวใจ

เคล็ดลับการรักษาเบาหวานให้ได้ผลดี

เพื่อให้การรักษาเบาหวานมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ค่ะ

  • ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    ไม่ลืมกินยาตามเวลา และไม่หยุดยาเอง แม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นก็ตาม

  • ไม่เปลี่ยนยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
    เพราะยารักษาเบาหวานแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงและการทำงานที่ต่างกัน

  • ใช้เทคโนโลยีช่วยติดตาม
    เช่น แอปพลิเคชันบันทึกการกินอาหาร ระดับน้ำตาล และการออกกำลังกาย จะช่วยให้ผู้ป่วยเห็นภาพรวมและปรับพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น

  • ให้ครอบครัวมีส่วนร่วม
    การที่คนในครอบครัวช่วยดูแลและเข้าใจโรค จะทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจและปฏิบัติตามการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง

สรุป การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และการดูแลตัวเอง ล้วนเป็นส่วนเสริมที่สำคัญต่อการรักษาเบาหวานพอ ๆ กับการใช้ยา หากผู้ป่วยทำได้ครบทั้ง 3 ส่วนอย่างสมดุล จะช่วยควบคุมโรคได้มีประสิทธิภาพ ลดภาวะแทรกซ้อน และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาเบาหวาน

Q1 : เบาหวานรักษาหายขาดไหม?
ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้จนใช้ชีวิตใกล้เคียงคนปกติค่ะ

Q2 : ถ้าเป็นเบาหวานต้องฉีดอินซูลินทุกคนไหม?
ไม่จำเป็น ผู้ป่วยบางรายใช้เพียงยากินก็สามารถควบคุมได้ดี ขึ้นอยู่กับคำแนะนำแพทย์ค่ะ

Q3 : การออกกำลังกายช่วยแทนการใช้ยาได้หรือไม่?
ในผู้ที่เป็นเบาหวานระยะแรก การควบคุมอาหารและออกกำลังกายอาจเพียงพอ แต่หากไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพิ่มเติมค่ะ

Q4 : ต้องตรวจน้ำตาลบ่อยแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับชนิดการรักษา หากใช้อินซูลินควรตรวจทุกวัน แต่ถ้าใช้ยากินและคุมได้ดี อาจตรวจสัปดาห์ละ 2–3 ครั้งค่ะ

Q5 : ยาสมุนไพรรักษาเบาหวานได้จริงไหม?
ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสมุนไพรใดรักษาเบาหวานได้ผลเท่าการรักษาทางการแพทย์ ดังนั้นควรใช้ควบคู่กับการรักษาหลักและปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอค่ะ

Q6 : การผ่าตัดลดความอ้วนช่วยรักษาเบาหวานได้จริงหรือไม่?
ใช่ค่ะ งานวิจัยพบว่าผู้ป่วยบางรายที่เข้ารับการผ่าตัดสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน

Q7 : เบาหวานต้องกินยาตลอดชีวิตไหม?
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องใช้ยาต่อเนื่อง แต่ปริมาณและชนิดอาจปรับเปลี่ยนตามการควบคุมโรค หากผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้ใช้ยาน้อยลงได้ค่ะ

Q8 : ผู้ป่วยเบาหวานกินผลไม้ได้ไหม?
ได้ค่ะ แต่ควรเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิลเขียว และควรทานในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัดอย่างทุเรียน ลำไย หรือมะม่วงสุก

Q9 : การออกกำลังกายมีความเสี่ยงอะไรสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน?
หากน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป อาจเกิดอาการหน้ามืด เวียนหัว หรือเป็นลมได้ ดังนั้นควรตรวจระดับน้ำตาลก่อนและหลังออกกำลัง และพกของหวานติดตัว เช่น ลูกอม ไว้ป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำค่ะ

Q10 : ถ้าลืมกินยารักษาเบาหวานควรทำอย่างไร?
หากเพิ่งลืมไม่นานสามารถทานทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อถัดไป ให้ข้ามไปเลย ห้ามทานยาซ้อนสองมื้อ เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลต่ำเกินไปค่ะ

Q11 : คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน สามารถป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้ไหม?
ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการควบคุมน้ำหนัก กินอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำค่ะ

สรุป

การรักษาเบาหวานไม่ใช่เพียงการใช้ยา แต่ต้องอาศัย การปรับพฤติกรรม อาหาร ออกกำลังกาย และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ร่วมด้วย เพื่อควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย หากคุณหรือคนใกล้ชิดเป็นเบาหวาน ควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและใช้สิทธิการรักษาที่มี เช่น สิทธิบัตรทอง, ประกันสังคม หรือสิทธิข้าราชการ เพื่อเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมและลดภาระค่าใช้จ่ายค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

No data was found

Subscribe and Follow

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า