สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ วิธีจัดการและวางแผนเพื่อครรภ์ที่ปลอดภัย

Share
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ วิธีจัดการและวางแผนเพื่อครรภ์ที่ปลอดภัย

Table of Contents

การตั้งครรภ์คือช่วงเวลาสำคัญของผู้หญิงที่ต้องดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน หนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อยคือ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้แม้คุณแม่ไม่เคยเป็นเบาหวานมาก่อน หากละเลยอาจส่งผลต่อทั้งแม่และลูกในครรภ์ บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจสาเหตุ ความเสี่ยง วิธีจัดการ และการวางแผนเพื่อการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย

เบาหวานขณะตั้งครรภ์คืออะไร?

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus: GDM) คือ ภาวะที่คุณแม่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติระหว่างการตั้งครรภ์ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีโรคเบาหวานมาก่อนก็ตามค่ะ ภาวะนี้มักเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2–3 ของการตั้งครรภ์ เนื่องจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เบาหวานขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อทั้งคุณแม่และทารก เช่น เสี่ยงต่อการคลอดยาก เด็กตัวใหญ่ หรือภาวะน้ำตาลต่ำในทารกแรกคลอด

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์

คุณแม่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้แก่

  • อายุเกิน 30 ปี

  • มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนก่อนตั้งครรภ์

  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน

  • เคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัม

  • เคยมีประวัติแท้งหรือทารกเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาก่อนตั้งครรภ์

สรุปคือ ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมาก โอกาสเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ก็จะสูงขึ้น คุณแม่ควรตรวจสุขภาพก่อนและระหว่างตั้งครรภ์อย่างสม่ำเสมอ

อาการของเบาหวานขณะตั้งครรภ์

อาการของเบาหวานขณะตั้งครรภ์

โดยทั่วไป เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) มักไม่ค่อยแสดงอาการที่เด่นชัด คุณแม่หลายคนจึงไม่รู้ตัวว่าเป็น ทำให้การตรวจคัดกรองในช่วงสัปดาห์ที่ 24–28 ของการตั้งครรภ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม บางรายอาจสังเกตได้ถึงสัญญาณเตือนดังนี้

  • กระหายน้ำบ่อยกว่าปกติ
    ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะทำให้ร่างกายพยายามขับออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก จึงกระหายน้ำอยู่เสมอ แม้จะดื่มน้ำมากแล้วก็ยังคอแห้งได้ค่ะ

  • ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
    เมื่อร่างกายมีน้ำตาลส่วนเกิน ไตจะทำงานหนักขึ้นเพื่อขับน้ำตาลออกมาในปัสสาวะ ทำให้คุณแม่เข้าห้องน้ำบ่อยกว่าคนท้องทั่วไป

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
    แม้คุณแม่จะพักผ่อนเพียงพอ แต่ก็อาจรู้สึกเหนื่อยง่าย เพราะน้ำตาลในเลือดไม่ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน

  • น้ำหนักขึ้นเร็วกว่าปกติ
    หากน้ำหนักขึ้นมากผิดสัดส่วนในระยะเวลาอันสั้น อาจเป็นสัญญาณของการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันผิดปกติ ซึ่งสัมพันธ์กับเบาหวานขณะตั้งครรภ์ค่ะ

นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มองเห็นไม่ชัด หิวบ่อย หรือมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งล้วนสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงผิดปกติ

ผลกระทบของเบาหวานขณะตั้งครรภ์

ต่อคุณแม่

  • เสี่ยงครรภ์เป็นพิษ

  • เสี่ยงผ่าคลอดมากขึ้น

  • มีโอกาสกลายเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

ต่อทารก

  • ทารกตัวใหญ่ผิดปกติ (Macrosomia)

  • เสี่ยงภาวะหายใจลำบากหลังคลอด

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

  • เสี่ยงโรคอ้วนและเบาหวานเมื่อตอนโต

การจัดการที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้

ใครควรตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์?

แม้ว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนควรเข้ารับการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ตามเกณฑ์มาตรฐานในช่วงสัปดาห์ที่ 24–28 แต่ก็มีบางกลุ่มที่ จัดอยู่ในความเสี่ยงสูง ซึ่งแพทย์มักจะแนะนำให้ตรวจเร็วกว่าปกติหรืออาจตรวจซ้ำหลายครั้งระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่

  • คุณแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
    อายุที่มากขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการดื้อต่ออินซูลินและโรคเบาหวาน

  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนก่อนตั้งครรภ์
    ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกินมาตรฐานเพิ่มโอกาสเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์อย่างชัดเจน

  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
    โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่หรือพี่น้องสายตรง

  • เคยมีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อน
    หากเคยเกิดขึ้นแล้ว มีโอกาสเกิดซ้ำในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปสูง

  • เคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวเกิน 4 กิโลกรัม
    บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงระดับน้ำตาลสูงในครรภ์ที่ผ่านมา

  • มีประวัติแท้งซ้ำหรือทารกเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
    อาจเกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงผิดปกติ

  • มีความผิดปกติของร่างกายที่สัมพันธ์กับโรคเบาหวาน
    เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

แม้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ การตรวจคัดกรองก็ยังจำเป็น เพราะเบาหวานขณะตั้งครรภ์สามารถเกิดได้กับคุณแม่ทุกคนค่ะ

การจัดการเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่จัดการอย่างเป็นระบบ ดังนี้

  • ปรับอาหาร: เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ลดน้ำตาล ของหวาน และอาหารมัน

  • ออกกำลังกายเบา ๆ: เช่น เดิน ว่ายน้ำ โยคะสำหรับคนท้อง

  • ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด: ตรวจตามคำแนะนำแพทย์

  • ใช้ยาอินซูลิน: หากควบคุมด้วยอาหารและการออกกำลังกายไม่ได้

การดูแลตนเองอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงทั้งต่อคุณแม่และทารก

วางแผนการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยเบาหวาน

สำหรับผู้หญิงที่มี เบาหวานอยู่แล้วก่อนตั้งครรภ์ การวางแผนล่วงหน้าเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ

  • ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ก่อนเริ่มตั้งครรภ์

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาให้เหมาะสมและปลอดภัยต่อทารก

  • ตรวจสุขภาพไต ตา และหัวใจก่อนตั้งครรภ์

  • รับคำแนะนำเรื่องโภชนาการและน้ำหนักตัวที่เหมาะสม

การเตรียมตัวอย่างรอบคอบจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยมากขึ้น

วิธีป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์

วิธีป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์

แม้ว่าเบาหวานขณะตั้งครรภ์ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ แต่คุณแม่สามารถ ลดความเสี่ยง และดูแลสุขภาพได้ด้วยวิธีดังนี้

  • ควบคุมน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์
    หากมีน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน ควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก่อนตั้งครรภ์ เพราะการเริ่มต้นตั้งครรภ์ด้วยสุขภาพที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

  • รับประทานอาหารที่สมดุล
    เลือกทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผักผลไม้สด หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด น้ำอัดลม และขนมที่มีน้ำตาลสูง เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลพุ่งสูงเกินไป

  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
    ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3–5 ครั้ง ช่วยเพิ่มการเผาผลาญและลดภาวะดื้อต่ออินซูลินค่ะ

  • ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์
    หากมีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน หรือเคยมีเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อน ควรเข้ารับการตรวจน้ำตาลในเลือดก่อนตั้งครรภ์ เพื่อวางแผนการดูแลล่วงหน้า

  • ติดตามน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์
    น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นควรอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพราะทั้งสองอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้

  • ตรวจคัดกรองตามแพทย์นัด
    แม้จะป้องกันเต็มที่แล้ว คุณแม่ก็ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองในช่วงสัปดาห์ที่ 24–28 เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินสูงสุดค่ะ

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกในครรภ์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเบาหวานขณะตั้งครรภ์

Q1 : เบาหวานขณะตั้งครรภ์หายหลังคลอดหรือไม่?
ส่วนใหญ่ระดับน้ำตาลจะกลับสู่ปกติหลังคลอด แต่คุณแม่ยังมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต จึงควรตรวจติดตามทุกปีค่ะ

Q2 : การตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์ทำอย่างไร?
แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองด้วยการดื่มน้ำตาลกลูโคสแล้วเจาะเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาลค่ะ

Q3 : ถ้าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ต้องคลอดด้วยการผ่าตัดหรือไม่?
ไม่จำเป็นเสมอไป ขึ้นอยู่กับขนาดทารกและดุลยพินิจของแพทย์ค่ะ

Q4 : ลูกที่เกิดจากแม่ที่มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์เสี่ยงเป็นเบาหวานไหม?
ใช่ค่ะ เด็กมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเป็นโรคอ้วนและเบาหวานในอนาคต

Q5 : ถ้าไม่รักษาเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะเกิดอะไรขึ้น?
ทั้งแม่และลูกจะมีความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนสูง เช่น คลอดก่อนกำหนด ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือครรภ์เป็นพิษค่ะ

Q6 : เบาหวานขณะตั้งครรภ์สามารถป้องกันได้หรือไม่?
ไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงด้วยการควบคุมน้ำหนัก รับประทานอาหารที่เหมาะสม และออกกำลังกายสม่ำเสมอค่ะ

Q7 : ถ้าเคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็นซ้ำในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปหรือไม่?
มีโอกาสสูงที่จะเกิดซ้ำ จึงควรเตรียมความพร้อม วางแผน และตรวจสุขภาพก่อนการตั้งครรภ์ทุกครั้งค่ะ

Q8 : เบาหวานขณะตั้งครรภ์ส่งผลต่อการให้นมลูกหรือไม่?
ไม่ส่งผลโดยตรง คุณแม่สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ และยังมีประโยชน์ในการช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานในอนาคตอีกด้วยค่ะ

สรุป

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลทั้งต่อสุขภาพคุณแม่และลูกในครรภ์ การตรวจคัดกรอง การวางแผนการตั้งครรภ์ และการจัดการเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์อย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

หากคุณแม่กำลังวางแผนตั้งครรภ์หรือสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ ค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

No data was found

Subscribe and Follow

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า