สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

ความดันโลหิตสูง ศัตรูเงียบที่มากับเบาหวาน พร้อมวิธีควบคุม

Share
ความดันโลหิตสูง ศัตรูเงียบที่มากับเบาหวาน พร้อมวิธีควบคุมให้ปลอดภัย

Table of Contents

ความดันโลหิตสูง หรือที่หลายคนเรียกว่า “โรคความดัน” เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากแรงดันในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ควบคุม อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อหัวใจ ไต สมอง และหลอดเลือดทั่วร่างกายได้ค่ะ ที่สำคัญคือผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย

ความดันโลหิตสูง คืออะไร?

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) คือ ภาวะที่แรงดันของเลือดที่ดันไปตามผนังหลอดเลือดแดง สูงกว่าค่าปกติอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปค่าความดันโลหิตที่ถือว่า “สูง” คือมากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ขึ้นไป

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ หัวใจของเราต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายตลอดเวลา เมื่อหลอดเลือดแข็ง ตีบแคบ หรือมีแรงต้านมาก เลือดจึงต้องใช้แรงดันสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิด “ความดันโลหิตสูง” นั่นเอง

ความดันโลหิตมี 2 ค่า

เวลาไปวัดความดัน มักเห็นตัวเลข 2 ตัว เช่น 120/80 mmHg ซึ่งหมายถึง

  • ค่าความดันตัวบน (Systolic blood pressure)
    คือแรงดันโลหิตเวลาหัวใจบีบตัว ตัวเลขนี้เป็นค่าที่สูงกว่า

     

  • ค่าความดันตัวล่าง (Diastolic blood pressure)
    คือแรงดันโลหิตเวลาหัวใจคลายตัว ตัวเลขนี้มักต่ำกว่า

เกณฑ์วัดความดันโลหิต (สำหรับผู้ใหญ่)

  • ความดันปกติ: ต่ำกว่า 120/80 mmHg

  • ความดันสูงเล็กน้อย (Prehypertension): 120–139/80–89 mmHg

  • ความดันโลหิตสูง ระยะที่ 1: 140–159/90–99 mmHg

  • ความดันโลหิตสูง ระยะที่ 2: 160/100 mmHg ขึ้นไป

ทำไมความดันโลหิตสูงจึงถูกเรียกว่า “โรคเงียบ”

เพราะในระยะแรก ๆ ผู้ป่วยมักไม่มีอาการใด ๆ เลย แต่ความดันที่สูงจะค่อย ๆ ทำลายหลอดเลือด หัวใจ ไต และสมอง จนกว่าจะเกิดโรคร้ายแรง เช่น หัวใจวาย ไตวาย หรืออัมพาตค่ะ

ความดันโลหิตสูงกับเบาหวาน ทำไมมาคู่กัน

ความดันโลหิตสูงกับเบาหวาน ทำไมมาคู่กัน

โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงมักพบร่วมกันบ่อยมาก โดยมีความเชื่อมโยงกันหลายด้าน ได้แก่

  • การดื้อต่ออินซูลิน: ทำให้ร่างกายจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี เกิดการอักเสบและความผิดปกติของหลอดเลือด

  • การแข็งตัวของหลอดเลือด: ผู้ป่วยเบาหวานมักมีไขมันในเลือดสูงและหลอดเลือดเสื่อมเร็วกว่าปกติ จึงทำให้เกิดความดันสูง

  • ไตเสื่อมจากเบาหวาน: ไตที่ทำงานผิดปกติส่งผลต่อการควบคุมความดันโลหิต ทำให้ความดันสูงขึ้นเรื่อย ๆ

  • ภาวะอ้วนลงพุง: ผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมากมีภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของทั้งสองโรค

สรุปได้ว่า หากมีเบาหวานแล้วไม่ควบคุมระดับน้ำตาล โอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็จะมากขึ้น และหากเป็นความดันสูงอยู่แล้ว ก็เสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานตามมาด้วย

ค่าความดันโลหิตเป้าหมายในผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน

  • ค่ามาตรฐานทั่วไป: ควรควบคุมความดันให้อยู่ต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท

  • กลุ่มเสี่ยงสูง (เช่น มีโรคไตเรื้อรังหรือโรคหัวใจร่วมด้วย): แนะนำให้ลดลงมาอยู่ที่ 130/80 มิลลิเมตรปรอท

  • การติดตามต่อเนื่อง: ควรวัดความดันสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละหลายครั้ง พร้อมจดบันทึกเพื่อใช้ประกอบการรักษากับแพทย์

การควบคุมความดันให้อยู่ในระดับเป้าหมาย จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด ไตเสื่อม และโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างชัดเจนค่ะ

hypertension-and-diabetes-control

วิธีดูแลและควบคุมความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยเบาหวาน

เพื่อให้ทั้งน้ำตาลและความดันอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองดังนี้

  • ปรับอาหาร

    • ลดเกลือและอาหารโซเดียมสูง เช่น อาหารหมักดอง ของแปรรูป

    • ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมเร็ว

    • เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารที่มีใยอาหารสูง

  • ควบคุมน้ำหนัก
    การลดน้ำหนักเพียง 5–10% ของน้ำหนักตัว สามารถช่วยลดทั้งน้ำตาลและความดันได้อย่างมาก

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วัน

  • เลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
    ทั้งสองอย่างเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยตรง

  • ใช้ยาตามแพทย์สั่ง
    ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันสูงมักต้องใช้ยาควบคุมความดันร่วมกับยาคุมเบาหวาน ควรทานต่อเนื่อง ไม่หยุดยาเอง

สรุปคือ การควบคุมทั้งน้ำตาลและความดันควบคู่กันไป จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงได้มาก

ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง จากโรคความดันโลหิตสูง

เมื่อความดันโลหิตสูงและเบาหวานมาพร้อมกัน ภาระต่อร่างกายจะทวีคูณขึ้น ทำให้เสี่ยงโรคต่าง ๆ เช่น

  • โรคหัวใจขาดเลือดและหัวใจล้มเหลว

  • โรคหลอดเลือดสมอง

  • โรคไตเรื้อรัง

  • เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) ร่วมกับเส้นเลือดแตกง่ายจากความดันสูง

ดังนั้น การตรวจสุขภาพประจำปีและพบแพทย์สม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เลยค่ะ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง

Q1 : ความดันโลหิตสูงคือค่าตัวเลขเท่าไหร่?
โดยทั่วไป หากค่าความดันเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ความดันโลหิตสูงค่ะ

Q2 : ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมความดันให้อยู่ที่เท่าไร?
แนะนำให้ต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท และหากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไต ควรควบคุมให้อยู่ใกล้ 130/80 มิลลิเมตรปรอทค่ะ

Q3 : ความดันโลหิตสูงกับเบาหวานเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
ทั้งสองโรคมีปัจจัยร่วม เช่น ภาวะอ้วนลงพุง การดื้อต่ออินซูลิน และการเสื่อมของหลอดเลือด ทำให้เกิดพร้อมกันได้บ่อยค่ะ

Q4 : ความดันโลหิตสูงรักษาหายขาดไหม?
ไม่สามารถหายขาด แต่สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและการใช้ยาค่ะ

Q5 : อาหารอะไรควรหลีกเลี่ยงหากมีทั้งเบาหวานและความดันสูง?
ควรเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด ของมัน ของทอด และอาหารแปรรูปค่ะ

Q6 : การออกกำลังกายช่วยลดความดันและน้ำตาลจริงหรือไม่?
จริงค่ะ การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาล และลดความดันโลหิตได้

Q7 : ความดันโลหิตสูงกับเบาหวาน ถ้าเป็นพร้อมกันอันตรายแค่ไหน?
การมีทั้งความดันสูงและเบาหวานพร้อมกันจะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดมากกว่าคนที่เป็นโรคใดโรคหนึ่งถึง 2–3 เท่า จึงควรควบคุมทั้งสองโรคไปพร้อมกันค่ะ

Q8 : ยาความดันกับยาลดน้ำตาล กินพร้อมกันได้ไหม?
ส่วนใหญ่สามารถใช้ร่วมกันได้ แต่บางชนิดอาจมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้ระดับน้ำตาลเปลี่ยน ควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งและไม่หยุดยาเองค่ะ

Q9 : ค่าความดันโลหิตที่ 120/80 ถือว่าดีที่สุดจริงไหม?
ใช่ค่ะ 120/80 มม.ปรอทถือว่าเป็นค่ามาตรฐาน “ความดันปกติ” แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หากรักษาให้ใกล้ 130/80 ก็ถือว่าดีและปลอดภัยเช่นกันค่ะ

Q10 : ผู้ป่วยความดันสูงจำเป็นต้องใช้เครื่องวัดความดันที่บ้านไหม?
แนะนำให้มีค่ะ เพราะช่วยติดตามอาการได้ต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงจาก “white coat hypertension” ที่ค่าความดันขึ้นเฉพาะตอนเจอแพทย์

Q11 : ดื่มกาแฟมีผลต่อความดันโลหิตสูงหรือไม่?
คาเฟอีนอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราว โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่คุ้นกับคาเฟอีน ผู้ป่วยความดันสูงควรจำกัดการดื่มไม่เกิน 1 แก้วต่อวันค่ะ

สรุป

ความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานมักเป็น “คู่หูอันตราย” ที่ส่งผลต่อหัวใจ ไต และหลอดเลือด หากละเลยการดูแลจะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง การควบคุมทั้งสองโรคพร้อมกันจึงสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการปรับอาหาร ออกกำลังกาย ใช้ยา และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีทั้งโรคเบาหวานและความดันสูง ควรเข้ารับการตรวจและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

No data was found

Subscribe and Follow

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า