สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

ไขมันพอกตับ (NAFLD) รู้ทันโรคเงียบที่เสี่ยงเบาหวานและอ้วน

Share
ไขมันพอกตับ (NAFLD) รู้ทันโรคเงียบที่เสี่ยงเบาหวานและอ้วน

Table of Contents

ไขมันพอกตับ (NAFLD) เป็นโรคเงียบที่หลายคนไม่รู้ตัว เพราะมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่สัมพันธ์กับโรคอ้วนและเบาหวานอย่างใกล้ชิด หากละเลยอาจลุกลามไปถึงตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย ไปจนถึงวิธีรักษาและป้องกัน

ไขมันพอกตับ (NAFLD) คืออะไร?

ไขมันพอกตับ หรือ Non-Alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD) คือภาวะที่มีไขมันสะสมในตับมากเกินไป โดยไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก มักสัมพันธ์กับโรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 ภาวะดื้ออินซูลิน และกลุ่มอาการเมตาบอลิก หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจลุกลามเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือแม้กระทั่งมะเร็งตับได้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับเกิดจากการเผาผลาญผิดปกติของร่างกาย ส่งผลให้ไขมันสะสมในตับมากขึ้น โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่

  • โรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่มีรอบเอวเกินมาตรฐาน

  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หรือภาวะดื้ออินซูลิน

  • ไขมันในเลือดสูง (Triglyceride หรือ Cholesterol)

  • ความดันโลหิตสูง

  • พันธุกรรมและปัจจัยทางครอบครัว

  • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

การมีหลายปัจจัยร่วมกันยิ่งเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก และมักสัมพันธ์กับกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome)

อาการของภาวะไขมันพอกตับ

อาการของภาวะไขมันพอกตับ

ส่วนใหญ่ผู้ป่วย ไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปี แต่บางรายอาจมีอาการ เช่น

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

  • แน่นท้องบริเวณชายโครงขวา

  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ตรวจพบค่าตับ (LFTs) ผิดปกติ

อาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นสัญญาณของตับอักเสบหรือโรคตับระยะรุนแรงได้

ภาวะไขมันพอกตับในผู้ป่วยเบาหวาน (NAFLD)

ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงเป็นไขมันพอกตับสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากภาวะดื้ออินซูลินทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันผิดปกติ ตับจึงสะสมไขมันมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานมากกว่า 50% มีภาวะ NAFLD และยังเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็น NASH (Non-Alcoholic Steatohepatitis) หรือตับอักเสบรุนแรง ซึ่งอาจลุกลามเป็นตับแข็งในอนาคตได้

โรคอ้วนกับโรคไขมันพอกตับ (NAFLD)

โรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันสะสมรอบเอว (Central Obesity) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ NAFLD ไขมันที่เกินจากร่างกายจะไปสะสมในตับ และทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง อัตราการพบไขมันพอกตับในผู้ป่วยอ้วนสูงถึง 80–90% และหากอ้วนร่วมกับเป็นเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า

การวินิจฉัยไขมันพอกตับ

แพทย์จะใช้วิธีการวินิจฉัยหลายอย่างเพื่อประเมินภาวะ NAFLD ได้แก่

  • การตรวจเลือด ดูค่าเอนไซม์ตับ (AST, ALT)

  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง เพื่อตรวจหาความผิดปกติของตับ

  • FibroScan หรือ MRI ใช้วัดระดับไขมันและพังผืดในตับ

  • การตัดชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) เป็นมาตรฐานทองคำในการวินิจฉัยและระบุความรุนแรงของโรค

การรักษาไขมันพอกตับ

ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาไขมันพอกตับโดยตรง การรักษาหลักคือการปรับพฤติกรรมเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • ลดน้ำหนัก อย่างน้อย 7–10% ของน้ำหนักตัวเดิม

  • ปรับอาหาร ลดน้ำตาล ของทอด ไขมันทรานส์ และเพิ่มผักผลไม้

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์

  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด

  • งดแอลกอฮอล์ เพื่อลดภาระการทำงานของตับ

ในรายที่มีตับอักเสบรุนแรงหรือมีพังผืด แพทย์อาจพิจารณายาควบคู่กับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

วิธีป้องกันโรคไขมันพอกตับ

การป้องกันทำได้โดยเริ่มจากการปรับวิถีชีวิตประจำวัน เช่น

  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

  • รับประทานอาหารที่สมดุล หลีกเลี่ยงน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ

  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีเบาหวานหรือโรคอ้วน

  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์

การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ค

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไขมันพอกตับ (NAFLD)

Q1 : ไขมันพอกตับ (NAFLD) คืออะไร?
ไขมันพอกตับคือภาวะที่ตับมีการสะสมไขมันมากเกินไปโดยไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ หากปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นตับอักเสบและตับแข็งได้ค่ะ

Q2 : ภาวะไขมันพอกตับอันตรายไหม?
ส่วนใหญ่ไม่มีอาการชัดเจน แต่หากรุนแรงอาจเสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ จึงควรตรวจสุขภาพเป็นประจำค่ะ

Q3 : เบาหวานเกี่ยวข้องกับไขมันพอกตับอย่างไร?
ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด NAFLD เพราะภาวะดื้ออินซูลินทำให้ไขมันสะสมในตับมากขึ้นค่ะ

Q4 : โรคอ้วนทำให้เป็นไขมันพอกตับหรือไม่?
ใช่ค่ะ ผู้ที่อ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด NAFLD มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

Q5 : ไขมันพอกตับรักษาหายไหม?
หากปรับพฤติกรรม ลดน้ำหนัก และควบคุมโรคประจำตัวได้อย่างเหมาะสม ภาวะไขมันพอกตับสามารถดีขึ้นได้ค่ะ

Q6 : ไขมันพอกตับเกิดจากการกินมันเยอะอย่างเดียวหรือไม่?
ไม่ใช่ค่ะ สาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของการเผาผลาญ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ภาวะดื้ออินซูลิน ไขมันในเลือดสูง ร่วมกับการกินอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

Q7 : ไขมันพอกตับกับไวรัสตับอักเสบต่างกันอย่างไร?
ไขมันพอกตับเกิดจากไขมันสะสม ส่วนไวรัสตับอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ แต่ทั้งสองอย่างสามารถนำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับได้หากไม่ได้รับการดูแลค่ะ

Q8 : ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะเป็นไขมันพอกตับไหม?
ถ้าสาเหตุหลักมาจากแอลกอฮอล์จะไม่เรียกว่า NAFLD แต่เป็น Alcoholic Fatty Liver Disease (AFLD) อย่างไรก็ตามการดื่มแอลกอฮอล์มากก็ทำให้โรคตับรุนแรงขึ้นได้ค่ะ

Q9 : หากลดน้ำหนักได้ ไขมันพอกตับจะหายไหม?
ในหลายกรณีไขมันพอกตับสามารถดีขึ้นหรือกลับสู่ภาวะปกติได้ หากลดน้ำหนักลง 7–10% และควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วยค่ะ

สรุป

ภาวะ ไขมันพอกตับ (NAFLD) เป็นโรคเงียบที่พบบ่อยในคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานและโรคอ้วน หากละเลยอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ การปรับพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย และควบคุมโรคประจำตัว ถือเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาและป้องกัน

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีปัจจัยเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตับประจำปี เพื่อวินิจฉัยและดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะยิ่งรักษาเร็ว โอกาสฟื้นตัวของตับก็ยิ่งสูงค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

No data was found

Subscribe and Follow

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า