สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน: อาการ สาเหตุ การรักษา

Share
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

คุณเคยรู้สึก เจ็บแน่นหน้าอกแบบกะทันหัน หายใจลำบาก หรือเวียนศีรษะโดยไม่มีสาเหตุ หรือไม่? อาการเหล่านี้อาจเป็นมากกว่าความเหนื่อยล้าหรือความเครียดในชีวิตประจำวัน เพราะมันอาจเป็น สัญญาณเตือนของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome, ACS) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลก และมักเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่หากเรารู้เท่าทันอาการ สาเหตุ และแนวทางการป้องกัน ก็สามารถลดความเสี่ยงและรับมือได้อย่างทันท่วงที

The Medicative ขอนำเสนอข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับภาวะนี้ ตั้งแต่อาการที่ต้องระวัง สาเหตุของโรค วิธีการวินิจฉัย แนวทางการรักษา และวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ

อย่าปล่อยให้หัวใจของคุณต้องส่งสัญญาณฉุกเฉินก่อนที่คุณจะเริ่มดูแลมัน มาเรียนรู้และป้องกันภาวะนี้ไปด้วยกัน!

ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันคืออะไร?

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome, ACS) เป็นภาวะที่เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพออย่างฉับพลัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจนและอาจถูกทำลายหรือตายลงอย่างรวดเร็ว ภาวะนี้จัดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลก และต้องได้รับการรักษาโดยด่วน

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสามารถเกิดขึ้นได้จาก การอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือด และอาจเกิดจากลิ่มเลือดที่ไปปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดโดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ ในบางกรณีอาจเกิดจากการหดตัวของหลอดเลือดหัวใจเอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ

ความอันตรายของภาวะนี้อยู่ที่อาการที่มักเกิดขึ้นกะทันหันและรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หัวใจอาจได้รับความเสียหายถาวร หรือทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

สาเหตุของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

สาเหตุหลักของภาวะนี้คือ “การอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่

1. หลอดเลือดหัวใจตีบจากคราบไขมัน (atherosclerosis)

  • เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด

  • เกิดจากไขมันและสารอื่น ๆ สะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงเรื่อย ๆ

  • เมื่อคราบพลัคแตกออก ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างลิ่มเลือดขึ้นมา ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดอย่างฉับพลัน

2. ลิ่มเลือดอุดตัน (thrombosis)

  • เกิดขึ้นเมื่อเลือดจับตัวเป็นก้อนและไปอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ

  • มักเกิดขึ้นในบริเวณที่หลอดเลือดหัวใจตีบอยู่แล้ว

  • เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

3. หลอดเลือดหัวใจหดเกร็ง (coronary artery spasm)

  • หลอดเลือดหัวใจหดตัวกะทันหัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลง

  • อาจเกิดจากปัจจัย เช่น ความเครียด การสูบบุหรี่ หรือการใช้สารเสพติด เช่น โคเคน

  • ในบางกรณีอาจเกิดขึ้นในผู้ที่ไม่มีหลอดเลือดหัวใจตีบมาก่อน

อาการของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

อาการของภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันและรุนแรง โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

1. เจ็บหน้าอก (chest pain)

  • อาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็นลักษณะเด่นของภาวะนี้

  • รู้สึกเหมือนมีของหนักมากดทับบริเวณหน้าอก

  • อาจร้าวไปที่แขนซ้าย คอ ขากรรไกร หรือไหล่

2. เหงื่อออก ตัวเย็น ซีด

  • มักเกิดขึ้นร่วมกับอาการเจ็บหน้าอก

  • เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินของหัวใจ

3. หายใจลำบาก (shortness of breath)

  • รู้สึกเหมือนขาดอากาศหรือหายใจไม่เต็มปอด

  • มักเกิดขึ้นเมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ

4. เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

  • เกิดจากความดันโลหิตที่ลดลงกะทันหัน

  • อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดหรือหมดสติ

5. ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ

  • อาจรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วหรือข้ามจังหวะ

  • ในบางกรณีอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง ซึ่งอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิตได้

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อภาวะนี้

แม้ว่าภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดภาวะนี้ ได้แก่

  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
  • พฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
  • พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคหัวใจ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น
  • อายุ พบมากในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปี

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กับ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ต่างกันอย่างไร?

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome, ACS) และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute myocardial infarction, AMI) มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด แต่มีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้:

  • ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (ACS)
      • เป็นกลุ่มอาการที่บ่งชี้ถึงการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจอย่างเฉียบพลัน
      • แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก
        • กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันที่พบการยกตัวของช่วง ST (STEMI): เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจอย่างสมบูรณ์ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดตลอดความหนาของผนังกล้ามเนื้อหัวใจ
        • กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันที่ไม่พบการยกตัวของช่วง ST (NSTEMI): เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจบางส่วน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเพียงบางส่วนของผนังกล้ามเนื้อ
        • ภาวะเจ็บหน้าอกชนิดไม่คงที่ (unstable angina): มีอาการเจ็บหน้าอกที่อาจพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติหรือผิดปกติ แต่ค่าเอนไซม์การทำงานของหัวใจปกติ
  • ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (AMI):
    • เป็นหนึ่งในประเภทของ ACS ที่อันตรายที่สุด อาจทำให้เสียชีวิตได้
    • เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและตายในที่สุด

ดังนั้น ACS เป็นกลุ่มอาการที่ครอบคลุมภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขาดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ซึ่ง AMI เป็นหนึ่งในภาวะเหล่านั้น

การวินิจฉัยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันโดยอาศัยอาการของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจทางการแพทย์ที่สำคัญ ได้แก่

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย

  • แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการ เช่น อาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ใจสั่น เหงื่อออกมาก

  • ตรวจสอบปัจจัยเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัว โรคประจำตัว พฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • ฟังเสียงหัวใจ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของการไหลเวียนเลือด

2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram, ECG หรือ EKG)

  • เป็นการตรวจที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพื่อดูสัญญาณของ หัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย

  • แพทย์จะดูว่ามี ความผิดปกติของคลื่น ST หรือไม่ ซึ่งช่วยบ่งบอกว่าภาวะนี้เป็น STEMI หรือ NSTEMI

3. การตรวจเลือดหาเอนไซม์หัวใจ (cardiac biomarkers test)

  • ตรวจหาเอนไซม์ troponin และ CK-MB ซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย

  • ค่าของ troponin ที่สูงขึ้น เป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่ามีการเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ

4. การเอกซเรย์ทรวงอก (chest X-ray)

  • ตรวจดูขนาดของหัวใจและภาวะอื่น ๆ เช่น ภาวะน้ำท่วมปอด หรือหัวใจโต

  • ใช้เพื่อแยกภาวะอื่นที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายกัน เช่น โรคปอด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

5. การตรวจสมรรถภาพหัวใจ (stress test)

  • ใช้เพื่อตรวจว่าหัวใจสามารถทำงานได้ดีแค่ไหนเมื่อต้องออกแรง

  • อาจทำโดยการเดินสายพาน (treadmill test) หรือใช้ยากระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น

  • ใช้ในกรณีที่อาการยังไม่รุนแรงมาก

6. การตรวจฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography)

  • เป็นการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจ เพื่อตรวจดูว่ามีการตีบตันหรืออุดตันหรือไม่

  • เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยภาวะนี้ และมักใช้ร่วมกับ การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด หากพบการอุดตัน

การรักษาภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome, ACS) เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้น การรักษาสามารถแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก ได้แก่

1. การปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนถึงโรงพยาบาล

      • เมื่อสงสัยว่ามีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ควรดำเนินการดังที่กล่าวไว้แล้ว ดังนี้
      • โทรแจ้งสายด่วนฉุกเฉิน 1669 ทันที หลีกเลี่ยงการขับรถไปโรงพยาบาลเอง 
      • นั่งพักในท่าที่สบาย 
      • รับประทานยาแอสไพริน (aspirin) หากไม่มีข้อห้าม
      • ใช้ยาไนโตรกลีเซอรีน (nitroglycerin) หากมี เ
      • หากหมดสติ ควรทำ CPR ทันที หากพบว่าผู้ป่วยหมดสติและไม่หายใจ 

2. การรักษาด้วยยาในโรงพยาบาล

หลังจากถึงโรงพยาบาล แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาต่าง ๆ เพื่อเปิดทางให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น

      • ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytics หรือ fibrinolytics) ใช้ในกรณีที่การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดไม่สามารถทำได้ทันที ตัวอย่างยา ได้แก่ alteplase, reteplase, tenecteplase มีประสิทธิภาพสูงสุดหากให้ภายใน 3-6 ชั่วโมงแรกหลังจากเริ่มมีอาการ
      • ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet agents) ป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดจับตัวกันจนเกิดลิ่มเลือดใหม่ ตัวอย่างยา ได้แก่ aspirin, clopidogrel, ticagrelor
      • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) ลดการเกิดลิ่มเลือดเพิ่มเติมที่อาจทำให้หลอดเลือดอุดตันซ้ำ ตัวอย่างยา ได้แก่ heparin, enoxaparin
      • ยาขยายหลอดเลือด (nitrates) ลดอาการเจ็บหน้าอกและช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น ตัวอย่างยา ได้แก่ nitroglycerin
      • ยาลดภาระการทำงานของหัวใจ (beta-blockers และ ACE inhibitors)
      • beta-blockers เช่น metoprolol, atenolol ลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
      • ACE inhibitors เช่น enalapril, ramipril ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว
      • ยาลดไขมันในเลือด (statins) ลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดในอนาคต ตัวอย่างยา ได้แก่ atorvastatin, rosuvastatin

3. การรักษาด้วยหัตถการและการผ่าตัด

หากหลอดเลือดหัวใจตีบตันรุนแรงหรือมีการอุดตันทั้งหมด แพทย์อาจเลือกใช้วิธีการรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด

      • การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวด (percutaneous coronary intervention, PCI หรือ angioplasty with stent)
        เป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุดในการรักษาภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แพทย์จะใส่สายสวนหลอดเลือดเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจ แล้วใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดที่ตีบ จากนั้นใส่ขดลวด (stent) เพื่อช่วยให้หลอดเลือดเปิดกว้างถาวร “ต้องทำภายใน 90 นาทีหลังจากมีอาการ เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความเสียหายของหัวใจ
      • การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery bypass graft, CABG)
        ใช้ในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบหลายจุด หรือในผู้ที่ไม่สามารถทำบอลลูนขยายหลอดเลือดได้ แพทย์จะนำหลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย (เช่น หลอดเลือดจากขา) มาต่อแทนส่วนที่ตีบตัน เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น มักใช้ในผู้ป่วยที่มี บาหวาน หรือมีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันหลายตำแหน่ง

4. การฟื้นฟูและดูแลระยะยาว

หลังจากการรักษาภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

      • การรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยต้องรับประทานยาเช่น aspirin, statins, beta-blockers เป็นประจำ ห้ามหยุดยาเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
      • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพหัวใจ เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ รับประทานอาหารที่ดีต่อหัวใจ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และปลาไขมันสูง (เช่น ปลาแซลมอน)
      • การตรวจติดตามสุขภาพหัวใจ ผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจติดตามสุขภาพหัวใจ อาจต้องทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือตรวจเลือดเป็นระยะ

การป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ ดังนี้

1. ควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ

  • ควบคุมความดันโลหิต – รักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ไม่เกิน 120/80 mmHg)

  • ควบคุมระดับไขมันในเลือด – หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง และรับประทานอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล

  • ควบคุมน้ำตาลในเลือด – ผู้ที่เป็นเบาหวานควรตรวจระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

2. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่

      • บุหรี่ทำให้หลอดเลือดตีบและเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์

      • การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากสามารถเพิ่มความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

      • ควรออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน

  • นอนหลับให้เพียงพอ

      • ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อลดความเครียดและช่วยให้หัวใจทำงานได้ดี

3. รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ

  • เลือกอาหารที่มีประโยชน์

      • ควรรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ถั่ว และเมล็ดพืช

      • เลือกน้ำมันมะกอกแทนน้ำมันพืชทั่วไป

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง

      • ลดการบริโภคอาหารแปรรูป อาหารเค็ม และอาหารฟาสต์ฟู้ด เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง

4. จัดการความเครียด

  • ความเครียดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ

  • ใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น โยคะ การทำสมาธิ และการฝึกหายใจลึก ๆ

  • หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง

5. ตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ

  • การตรวจสุขภาพเป็นประจำสามารถช่วยให้พบความผิดปกติได้ก่อนเกิดภาวะฉุกเฉิน

  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรือผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพหัวใจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

1. ภาวะนี้รักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

    • ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% แต่สามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้

2. หากมีอาการ ควรทำอย่างไร?

    • ควรรีบโทรแจ้ง 1669 และอย่าพยายามขับรถไปโรงพยาบาลเอง

3. ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ชายจริงหรือ?

    • ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่ำกว่าผู้ชายก่อนวัยหมดประจำเดือน แต่หลังจากหมดประจำเดือน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเทียบเท่าผู้ชาย

สรุป

ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและเป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การรับรู้ถึงอาการและปัจจัยเสี่ยงของภาวะนี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ลดความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ และเพิ่มโอกาสรอดชีวิต

แม้ว่าภาวะนี้จะดูน่ากลัว แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อหัวใจ หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ รวมถึงการจัดการความเครียด การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถเฝ้าระวังและป้องกันโรคได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น

หัวใจของคุณมีเพียงดวงเดียว อย่ารอให้มันส่งสัญญาณฉุกเฉินก่อนที่คุณจะเริ่มดูแล เริ่มต้นปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพหัวใจของคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้หัวใจแข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาว

สำหรับผู้ที่มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและแนวทางการรักษาโรคต่าง ๆ สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ The Medicative แหล่งรวมความรู้ด้านสุขภาพที่ครอบคลุม พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์การรักษา เพื่อให้คุณเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ

อ้างอิง

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) เป็นวิธีที่ปลอดภัยและแม่นยำในการประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือภาวะหัวใจโต โดยไม่ต้องใช้รังสีหรือผ่าตัด หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสม
โรคลิ้นหัวใจส่งผลต่อหัวใจและคุณภาพชีวิต หากปล่อยไว้ อาจทำให้หัวใจล้มเหลว อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกจะมากขึ้นเมื่อโรครุนแรงขึ้น การรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยา ซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้น การดูแลสุขภาพและตรวจหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

Subscribe and Follow

หมวดหมู่ สุขภาพหัวใจ

ประเภทและอาการ
การวินิจฉัยและการรักษา
เรียนรู้การอยู่กับโรคหัวใจ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า