หัวใจเป็นอวัยวะที่ทำงานตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุด แต่ถ้าวันหนึ่งมันเริ่มทำงานผิดปกติล่ะ? โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (cardiomyopathy) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ หนาตัว หรือแข็งตัวผิดปกติ ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่ และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้ The Medicative จะพาคุณไปรู้จักโรคนี้ให้มากขึ้น ทั้ง สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย และแนวทางการรักษา เพื่อช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหัวใจของคุณคือศูนย์กลางของชีวิต ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งป้องกันได้ก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น
ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติคืออะไร?
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (cardiomyopathy) คือภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจมีความผิดปกติ ทำให้หัวใจทำงานได้ลดลงและอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) ได้ โรคนี้เกิดจากการที่กล้ามเนื้อหัวใจเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือดของหัวใจ
โรคนี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีสาเหตุและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น
-
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจชนิดห้องหัวใจขยายใหญ่ผิดปกติ (dilated cardiomyopathy): หัวใจห้องล่างซ้ายขยายใหญ่ ทำให้การบีบตัวของหัวใจลดลง
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ (hypertrophic cardiomyopathy): กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัวผิดปกติ (restrictive cardiomyopathy): กล้ามเนื้อหัวใจแข็งและยืดหยุ่นน้อยลง ส่งผลให้หัวใจรับเลือดได้น้อยลง
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจจากความผิดปกติของไฟฟ้าหัวใจ (arrhythmogenic right ventricular cardiomyopathy – ARVC): เกิดจากการแทนที่ของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจด้วยเนื้อเยื่อไขมันหรือพังผืด ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
อาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติสามารถแตกต่างกันไปได้ ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค ในระยะแรก หลายคนอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาการที่พบบ่อย ได้แก่
1. อาการทั่วไปที่พบบ่อย
-
-
เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องออกแรง เช่น เดินขึ้นบันได หรือออกกำลังกาย
-
หายใจลำบาก หรือหอบเหนื่อย แม้ในขณะพัก
-
เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะออกแรงหรือทำกิจกรรม
-
หัวใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว แรง หรือเต้นผิดปกติ
-
เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม เนื่องจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
-
ขาบวม เท้าบวม หรือท้องบวม เนื่องจากร่างกายคั่งน้ำจากภาวะหัวใจล้มเหลว
-
2. อาการที่อาจพบเฉพาะโรค
-
-
Dilated cardiomyopathy: หัวใจอ่อนแรง เหนื่อยง่าย บวมที่ขาและเท้า
-
Hypertrophic cardiomyopathy: หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก
-
Restrictive cardiomyopathy: ขาบวม แน่นหน้าอก อ่อนเพลีย
-
Arrhythmogenic right ventricular cardiomyopathy (ARVC): ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เป็นลมบ่อย
-
อาการของโรคอาจค่อย ๆ แย่ลง หรืออาจเกิดขึ้นฉับพลันในบางราย หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
ในหลายกรณี สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (cardiomyopathy) ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด อย่างไรก็ตาม บางคนเป็นโรคนี้เนื่องจากมีภาวะหรือโรคอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่า acquired cardiomyopathy (เกิดขึ้นภายหลัง) ขณะที่บางคนได้รับโรคนี้มาจาก พันธุกรรม (inherited cardiomyopathy) โดยถ่ายทอดมาจากพ่อหรือแม่
ปัจจัยและพฤติกรรมบางอย่างที่อาจนำไปสู่ acquired cardiomyopathy ได้แก่:
-
- ภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
- ความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจจากภาวะหัวใจวาย
- ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเป็นเวลานาน
- ปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ
- การติดเชื้อ COVID-19
- การติดเชื้อบางชนิด โดยเฉพาะการติดเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ
- โรคเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ เช่น โรคอ้วน โรคไทรอยด์ และโรคเบาหวาน
- การขาดวิตามินหรือแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น วิตามินบี 1 (ไทอามีน)
- ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
- ภาวะเหล็กเกิน (hemochromatosis) ซึ่งทำให้เหล็กสะสมในกล้ามเนื้อหัวใจ
- โรคซาร์คอยโดซิส (sarcoidosis) ซึ่งเกิดจากการสะสมของก้อนเซลล์อักเสบในร่างกาย รวมถึงหัวใจและปอด
- โรคอะไมลอยโดซิส (amyloidosis) ซึ่งเป็นภาวะที่โปรตีนผิดปกติสะสมในอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงหัวใจ
- โรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue disorders)
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นเวลานาน
- การใช้สารเสพติด เช่น โคเคน แอมเฟตามีน หรือสเตียรอยด์เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ (anabolic steroids)
- การใช้ยาเคมีบำบัดบางชนิดและการฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้และดูแลสุขภาพหัวใจสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิด cardiomyopathy ได้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้
- ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure)
-
-
- หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ขาดออกซิเจน
- อาจมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม ท้องบวม
-
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia)
-
-
- หัวใจอาจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ
- อาจทำให้เกิดอาการใจสั่น หน้ามืด เป็นลม หรือในบางกรณีอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน
-
- ภาวะลิ่มเลือด (blood clot หรือ thromboembolism)
-
-
- เมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดไม่ดี อาจเกิดลิ่มเลือดภายในหัวใจ
- หากลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันที่สมอง อาจทำให้เกิด โรคหลอดเลือดสมอง (stroke)
- หากอุดตันที่ปอด อาจทำให้เกิด ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (pulmonary embolism)
-
- ภาวะลิ้นหัวใจผิดปกติ (valvular heart disease)
-
-
- หัวใจโตหรือกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ อาจทำให้ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ
- อาจเกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation) หรือลิ้นหัวใจตีบ (stenosis)
-
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน (sudden cardiac arrest – SCA)
-
-
- อาจเกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
- เป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันที
-
- ภาวะความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension)
-
-
- หัวใจล้มเหลวอาจทำให้ความดันในปอดสูงขึ้น
- ส่งผลให้ปอดทำงานหนักขึ้น อาจทำให้หายใจลำบากและเหนื่อยง่าย
-
- ภาวะน้ำท่วมปอด (pulmonary edema)
-
-
- เมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ดี อาจทำให้ของเหลวคั่งในปอด
- ทำให้หายใจลำบาก หอบเหนื่อย โดยเฉพาะเวลานอนราบ
-
- ภาวะไตเสื่อม (kidney failure)
-
-
- หัวใจทำงานลดลงอาจส่งผลให้ไตได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง
- อาจทำให้ไตทำงานผิดปกติหรือเสื่อมสภาพ
-
การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หรือ cardiomyopathy เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจมีความผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ การวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยการตรวจหลายวิธีเพื่อประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ รวมถึงค้นหาสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการ ประวัติสุขภาพของผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงปัจจัยเสี่ยง เช่น
-
-
-
-
ประวัติภาวะหัวใจล้มเหลว
-
ประวัติโรคหัวใจในครอบครัว
-
การใช้ยา สุรา หรือสารเสพติด
-
อาการที่พบ เช่น หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก ใจสั่น หรือเป็นลมบ่อย
-
-
-
2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram – ECG หรือ EKG)
ช่วยตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจเพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น
-
-
-
-
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
-
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
-
สัญญาณของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
-
-
-
3. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiography)
เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพของหัวใจ ช่วยประเมิน
-
-
-
-
ขนาดและรูปร่างของหัวใจ
-
ความหนาของกล้ามเนื้อหัวใจ
-
การทำงานของลิ้นหัวใจ
-
การไหลเวียนของเลือดในห้องหัวใจ
-
-
-
4. การตรวจเอกซเรย์ทรวงอก (chest x-ray)
ช่วยดูขนาดของหัวใจและตรวจหาภาวะน้ำท่วมปอด ซึ่งอาจเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลว
5. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์และเอ็มอาร์ไอหัวใจ (cardiac CT & MRI)
ใช้สำหรับดูรายละเอียดโครงสร้างของหัวใจและการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ
6. การสวนหัวใจและฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (cardiac catheterization & coronary angiography)
ช่วยประเมินความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงวัดแรงดันและปริมาณออกซิเจนในหัวใจ
7. การตรวจชิ้นเนื้อกล้ามเนื้อหัวใจ (myocardial biopsy)
ในบางกรณี แพทย์อาจใช้สายสวนเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อหัวใจเพื่อตรวจหาสาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ เช่น โรคทางพันธุกรรม หรือการติดเชื้อที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
9. การตรวจพันธุกรรม (genetic testing)
หากมีประวัติโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติในครอบครัว แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจพันธุกรรมเพื่อหาความเสี่ยงของโรค
การรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
การรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ความรุนแรงของอาการ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อ ควบคุมอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
1. การใช้ยา
แพทย์อาจสั่งยาหลายประเภทเพื่อช่วยควบคุมอาการและป้องกันการเสื่อมของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น
-
-
ยาลดความดันโลหิต เช่น AEC inhibitors, ARBs, beta-blockers ช่วยลดภาระของหัวใจและลดความดันโลหิต
-
ยาขับปัสสาวะ (diuretics) ช่วยลดอาการบวมน้ำและภาวะน้ำท่วมปอดจากภาวะหัวใจล้มเหลว
-
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) ใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด เช่น ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
-
ยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (antiarrhythmic drugs) ช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
-
2. การปรับพฤติกรรมและการดูแลตนเอง
การปรับไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งสำคัญในการลดภาระของหัวใจและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ได้แก่
-
-
ควบคุมอาหาร ลดโซเดียม หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
-
ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอภายใต้คำแนะนำของแพทย์
-
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน หรือสารเสพติด
-
จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
-
ควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง
-
3. การรักษาด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์
หากภาวะหัวใจผิดปกติรุนแรง อาจต้องใช้เครื่องมือช่วยในการทำงานของหัวใจ เช่น
-
-
เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ
-
เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าแบบฝัง (implantable cardioverter defibrillator – ICD) ใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบอันตราย
-
เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจ (left ventricular assist device – LVAD) สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นรุนแรง
-
4. การผ่าตัดและหัตถการทางการแพทย์
ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหรือหัตถการอื่น ๆ เช่น
-
-
การผ่าตัดลดขนาดกล้ามเนื้อหัวใจ (septal myectomy) ใช้ในกรณี cardiomyopathy ที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
-
การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (radiofrequency ablation) สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
- การปลูกถ่ายหัวใจ (heart transplant) เป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่การรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล และมีภาวะหัวใจล้มเหลวในระดับรุนแรง
-
การป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
แม้ว่าโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติบางชนิดอาจเกิดจากพันธุกรรมและไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและชะลอการดำเนินโรคได้โดยการดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง
1. รักษาสุขภาพหัวใจและควบคุมโรคเรื้อรัง
-
ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน
-
รักษาระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดอุดตัน
-
ตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
2. รับประทานอาหารที่ดีต่อหัวใจ
-
ลดการบริโภคโซเดียม เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตสูง
-
หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ
-
เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ปลา และถั่ว
-
ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
-
ควรออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
-
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักเกินไปหากมีปัญหาหัวใจ และควรปรึกษาแพทย์ก่อน
4. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นที่ทำลายหัวใจ
-
หยุดสูบบุหรี่ เพราะสารในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดตีบและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
-
หลีกเลี่ยงสารเสพติด เช่น โคเคนและแอมเฟตามีน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
5. จัดการความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ
-
ฝึกการผ่อนคลาย เช่น โยคะ การทำสมาธิ หรือการหายใจลึก ๆ
-
นอนหลับอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้หัวใจได้พักผ่อนและฟื้นฟูการทำงาน
6. หลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อหัวใจ
-
ป้องกันการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 เพราะบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
-
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่สำคัญ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม
-
หลีกเลี่ยงการใช้ยาเกินขนาดหรือยาอันตรายที่อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
1. โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติรักษาหายได้ไหม?
ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในบางกรณี แต่สามารถควบคุมอาการและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้
2. Cardiomyopathy อันตรายแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือเสียชีวิตกะทันหันได้
3. Cardiomyopathy กับโรคหัวใจขาดเลือดต่างกันอย่างไร?
Cardiomyopathy เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง ขณะที่โรคหัวใจขาดเลือดเกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน
4. ผู้ที่เป็นโรคนี้สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่?
ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม
5. โรคนี้สามารถป้องกันได้หรือไม่?
แม้บางชนิดเกิดจากพันธุกรรม แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการดูแลสุขภาพหัวใจ ลดปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
สรุป
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (cardiomyopathy) เป็นภาวะที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ แม้บางชนิดจะเกิดจากพันธุกรรม แต่การดูแลสุขภาพที่ดี เช่น ควบคุมโรคเรื้อรัง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง สามารถช่วยลดความเสี่ยงและชะลอความรุนแรงของโรค
หากมีอาการผิดปกติ เช่น หอบเหนื่อย ใจสั่น หรือเป็นลมบ่อย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้
สำหรับผู้ที่มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและแนวทางการรักษาโรคต่าง ๆ สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ The Medicative แหล่งรวมความรู้ด้านสุขภาพที่ครอบคลุม พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์การรักษา เพื่อให้คุณเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ
อ้างอิง
- https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/cardiomyopathy
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK470378/
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cardiomyopathy/symptoms-causes/syc-20370709
- https://www.lung.org/lung-health-diseases/lung-disease-lookup/sarcoidosis/learn-about-sarcoidosis
- https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/amyloidosis
- https://my.clevelandclinic.org/health/diagnostics/17255-myocardial-biopsy
- https://stanfordhealthcare.org/medical-treatments/l/lvad.html
- https://www.cdc.gov/flu/vaccines/vaccinations.html
- https://www.nhs.uk/vaccinations/pneumococcal-vaccine/