คุณเคยรู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หรือหายใจติดขัดขณะออกแรงไหม? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันโดยไม่ทันตั้งตัว ปัจจัยเสี่ยงอย่างความเครียด อาหารไขมันสูง และโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ล้วนมีส่วนทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบแคบลงจนเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ
บทความนี้ The Medicative จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุ อาการ วิธีการวินิจฉัย และแนวทางรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบ เพื่อให้คุณสามารถป้องกันภาวะร้ายแรงนี้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป ถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยง อย่าพลาดข้อมูลสำคัญที่อาจช่วยให้หัวใจคุณแข็งแรงขึ้น!
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบคืออะไร?
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease) เป็นภาวะที่หลอดเลือดหัวใจซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการตีบหรืออุดตันจากการสะสมของไขมัน แคลเซียม และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจนเกิดเป็นคราบพลัค (plaque) ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า atherosclerosis
หลอดเลือดที่แคบลงส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดลดลง หากคราบพลัคเกิดการแตก อาจกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันจนหลอดเลือดปิดสนิท ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (heart attack) ได้
โรคนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ทานอาหารไขมันสูง การคุมโรคประจำตัวไม่ดี (เบาหวาน ความดัน) และไม่ออกกำลังกาย
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่พบบ่อย ได้แก่
- อาการเจ็บแน่นหน้าอก (angina)
เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด มักรู้สึกเหมือนมีของหนักกดทับกลางหน้าอก โดยอาการอาจร้าวไปที่แขนซ้าย กราม คอ หรือหลัง อาการนี้มักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายออกแรงหรือเครียด และจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกแรง หรือพักผ่อน โดยหากอาการแน่นหน้าอกเป็นทันที และนั่งพักไม่ดีขึ้น เป็นนานกว่า 15นาที มักสัมพันธ์กับภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบฉุกเฉิน ซึ่งควรมาพบแพทย์โดยเร็ว - หายใจลำบาก (shortness of breath)
หัวใจที่ทำงานหนักเกินไป และร่วมกับมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจน้อยลงส่งผลให้หัวใจทำงานได้ลดลงอาจส่งผลให้ปอดได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหายใจไม่ทัน - อาการอื่น ๆ
- อาการเจ็บแน่นหน้าอก (angina)
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ แม้ในกิจกรรมที่ไม่หนัก
- หน้ามืด วิงเวียน หรือหมดสติ
- เหงื่อออกมากผิดปกติ โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้หญิงและผู้ป่วยเบาหวาน อาการอาจไม่ชัดเจน เช่น มีเพียงอาการอ่อนล้า เหนื่อยง่ายหรือแน่นท้อง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและเกิดการสะสมของพลัค ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
- การสะสมของไขมันในหลอดเลือด
การบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารทอด อาหารแปรรูป (เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน) อาหารทะเลที่ไม่ใช่ปลาทะเล หรือขนมขบเคี้ยว ขนมพวกเบเกอรี่ที่มีไขมันทรานส์ - โรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยง
- เบาหวาน: น้ำตาลในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดอักเสบ
- ความดันโลหิตสูง: เพิ่มแรงดันในหลอดเลือดจนเกิดความเสียหาย
- คอเลสเตอรอลสูง: โดยเฉพาะ LDL ที่เป็นไขมันเลวเพราะจะไปสะสมที่หลอดเลือดหัวใจ
- พฤติกรรมเสี่ยง
- การสูบบุหรี่: สารพิษในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว
- ขาดการออกกำลังกาย: ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี
- ความเครียด: ฮอร์โมนที่หลั่งในช่วงเครียดอาจส่งผลให้หัวใจทำงานหนักเกินไป
- ปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่
- พันธุกรรม: หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคนี้ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น
- อายุ: หลอดเลือดมีโอกาสเสื่อมสภาพตามอายุ
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถทำได้โดย
- ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
- เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- ตรวจระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด และความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยง
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- การใช้ยา
- ยาลดไขมันในเลือด เช่น Statins
- ยาขยายหลอดเลือด เช่น Nitrates
- ยาช่วยควบคุมอาการเจ็บแน่นหน้าอก เช่น beta blocker หรือ calcium channel blocker
- ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Aspirin Ref: NICE Guidelines.
- การทำบอลลูนและใส่ขดลวด (angioplasty with stenting)
วิธีนี้ช่วยขยายหลอดเลือดที่ตีบเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก และลดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือ อาการเหนื่อยได้ - การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (CABG)
เป็นการผ่าตัดนำหลอดเลือดจากส่วนอื่นมาทำทางเบี่ยงหลอดเลือดที่อุดตัน โดยมักพิจารณาในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบหลายเส้น และ มีความซับช้อนในการทำบอลลูนและใส่ขดลวด - การฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ (cardiac rehabilitation)
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การออกกำลังกาย และการติดตามผลอย่างใกล้ชิดกับแพทย์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
1.โรคหลอดเลือดหัวใจตีบรักษาหายขาดได้หรือไม่?
- แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ด้วยการรักษาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
2. ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถออกกำลังกายได้หรือไม่?
3. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร?
- ส่วนใหญ่เกิดจากการสะสมของไขมันและคราบพลัคในหลอดเลือดร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ และเบาหวาน
สรุป
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การป้องกันและรักษาโรคนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณมีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง แต่ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตและอายุยืนอีกด้วย ดังนั้นอย่าลืมดูแลตัวเองและเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ!
สำหรับผู้ที่มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและแนวทางการรักษาโรคต่าง ๆ สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ The Medicative แหล่งรวมความรู้ด้านสุขภาพที่ครอบคลุม พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์การรักษา เพื่อให้คุณเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ
อ้างอิง
- https://www.heart.org/en/health-topics/consumer-healthcare/what-is-cardiovascular-disease/coronary-artery-disease
- https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/cardiovascular-diseases-(cvds)
- https://www.nhs.uk/conditions/coronary-heart-disease/prevention/
- https://www.heart.org/en/health-topics/cardiac-rehab/what-is-cardiac-rehabilitation