สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

อาการใจสั่น: เกิดจากโรคอะไรได้บ้าง?

Share

คุณรู้หรือไม่ว่า มากกว่า 30% ของผู้ใหญ่เคยมีอาการใจสั่นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต? แม้ว่าส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยทั่วไป เช่น ความเครียด คาเฟอีน หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่บางครั้งอาการนี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือโรคหัวใจที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวและโรคหลอดเลือดสมอง

อาการใจสั่นบางประเภทอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดขึ้นบ่อย หรือมาพร้อมกับอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือเวียนศีรษะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง Medicative จะพาคุณไปรู้จักสาเหตุของอาการใจสั่น วิธีแยกแยะสัญญาณอันตราย และแนวทางดูแลตัวเอง เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับอาการนี้ได้อย่างมั่นใจ และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ

อาการใจสั่น คืออะไร?

อาการใจสั่น (palpitations) เป็นความรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ เต้นเร็ว หรือเต้นผิดจังหวะ อาจรู้สึกเหมือนหัวใจกระตุก หัวใจเต้นพลาดจังหวะ หรือเต้นแรงจนได้ยินเสียงในหู อาการนี้สามารถเกิดขึ้นขณะพักผ่อน นอน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้

โดยทั่วไป อาการใจสั่นอาจเกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที แต่ในบางกรณีอาจเกิดขึ้นต่อเนื่องและรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษา อาการนี้สามารถพบได้ทั้งในคนที่มีสุขภาพดีและผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ

สาเหตุของอาการใจสั่น

อาการใจสั่นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยทางกายภาพและจิตใจ โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

1. ความเครียดและความวิตกกังวล

อารมณ์ที่ตึงเครียดหรือความวิตกกังวลสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก (sympathetic nervous system) ซึ่งมีบทบาทในการกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น คนที่มีภาวะวิตกกังวลหรือแพนิค (panic attack) มักจะมีอาการใจสั่นร่วมกับหายใจไม่ทั่วท้อง มือสั่น หรือเหงื่อออกมาก

2. การบริโภคคาเฟอีนหรือสารกระตุ้นอื่น ๆ

เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงช็อกโกแลต อาจกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้ นอกจากนี้ นิโคตินจากบุหรี่และแอลกอฮอล์ยังสามารถส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการใจสั่นได้เช่นกัน

3. การออกกำลังกายหนักเกินไป

แม้ว่าการออกกำลังกายจะดีต่อสุขภาพหัวใจ แต่การออกแรงหนักเกินไป หรือการออกกำลังกายโดยไม่ได้วอร์มอัพอย่างเหมาะสม อาจทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นชั่วคราว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการใจสั่น

4. โรคหัวใจและปัญหาการเต้นของหัวใจ

อาการใจสั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) หรือโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น

  • ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ (tachycardia) – หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อาจเกิดจากปัญหาที่ระบบไฟฟ้าหัวใจ
  • ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation – AF) – ภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) – หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ดี ทำให้เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ และเหนื่อยง่าย

5. การใช้ยาบางชนิด

ยาที่มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดสามารถทำให้เกิดอาการใจสั่นได้ เช่น

  • ยาแก้แพ้ที่มีส่วนผสมของ pseudoephedrine
  • ยารักษาโรคหอบหืด
  • ยาไทรอยด์ฮอร์โมน
  • ยาลดความอ้วน

หากคุณมีอาการใจสั่นหลังจากเริ่มใช้ยาใหม่ ควรปรึกษาแพทย์ทันที

6. ภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism)

ไทรอยด์ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบเผาผลาญของร่างกาย หากต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น น้ำหนักลดลง และมีอาการหงุดหงิดง่าย

7. การใช้สารเสพติด

สารกระตุ้นบางชนิด เช่น ยาบ้า (amphetamine) โคเคน (cocaine) และยาอี (ecstasy) มีผลกระตุ้นระบบประสาท ทำให้เกิดอาการใจสั่นอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรงได้

อาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะใจสั่น

อาการใจสั่นอาจเกิดขึ้นเดี่ยว ๆ หรือมาพร้อมกับอาการอื่นที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงขึ้น เช่น

  • รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วหรือแรงกว่าปกติ – อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
  • เวียนศีรษะ – หากใจสั่นร่วมกับอาการหน้ามืด อาจบ่งบอกถึงปัญหาการไหลเวียนเลือด
  • หายใจไม่อิ่ม – อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจหรือภาวะเครียดรุนแรง
  • แน่นหน้าอกหรือเจ็บหน้าอก – ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจขาดเลือด
  • เหงื่อออกมากผิดปกติ – โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นร่วมกับใจสั่นและอาการอ่อนเพลีย
  • เป็นลมหมดสติ – เป็นสัญญาณอันตรายของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรง

หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

การวินิจฉัยและการรักษา

แพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการใจสั่นโดยพิจารณาจากประวัติสุขภาพและการตรวจเพิ่มเติม ซึ่งอาจรวมถึง:

1. การตรวจร่างกายและซักประวัติทางการแพทย์

แพทย์จะถามถึงลักษณะของอาการใจสั่น ระยะเวลาที่เกิดขึ้น ปัจจัยกระตุ้น และอาการร่วมอื่น ๆ

2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)

เป็นการตรวจพื้นฐานที่ช่วยบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจ เพื่อดูว่ามีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่

3. การตรวจเลือด

ช่วยวิเคราะห์ระดับอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย รวมถึงฮอร์โมนไทรอยด์ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการใจสั่น

4. การตรวจ holter monitor

เป็นอุปกรณ์บันทึกการเต้นของหัวใจตลอด 24-48 ชั่วโมง เพื่อดูว่ามีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในช่วงเวลาที่ทำกิจกรรมปกติหรือไม่

5. การตรวจ echocardiogram

เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจดูโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ

แนวทางการรักษา

การรักษาอาการใจสั่นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้มีอาการใจสั่น ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาแนวทางการรักษา ดังนี้

  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต – หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ รวมถึงจัดการความเครียดด้วยการฝึกหายใจลึก ๆ หรือทำสมาธิ
  • การใช้ยา – ในกรณีที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจต้องใช้ยาควบคุมจังหวะหัวใจ
  • การรักษาโรคพื้นฐาน – หากอาการใจสั่นเกิดจากโรคอื่น เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน การรักษาโรคนั้น ๆ จะช่วยบรรเทาอาการ

หัตถการทางการแพทย์ – ในกรณีที่หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง แพทย์อาจแนะนำการรักษา เช่น การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (radiofrequency ablation)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการใจสั่น

1. อาการใจสั่นอันตรายหรือไม่?

ขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเกิดจากความเครียดหรือคาเฟอีน มักไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดร่วมกับอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือเป็นลม ควรรีบพบแพทย์

2. วิธีบรรเทาอาการใจสั่นทำได้อย่างไร?

สามารถลองหายใจลึก ๆ ผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น และดื่มน้ำให้เพียงพอ

3. อาการใจสั่นเกิดจากโรคหัวใจเสมอไปหรือไม่?

ไม่เสมอไป อาการใจสั่นอาจเกิดจากความเครียด ยาบางชนิด หรือภาวะอื่น ๆ เช่น ไทรอยด์ทำงานเกิน

4. ต้องไปพบแพทย์เมื่อใด?

หากมีอาการใจสั่นบ่อย ๆ หรือร่วมกับอาการแน่นหน้าอก เป็นลม หรือเวียนศีรษะมาก ควรรีบไปพบแพทย์

สรุป

อาการใจสั่นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและมีหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความเครียด คาเฟอีน ไปจนถึงโรคหัวใจ หากอาการเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและหายไปเอง อาจไม่เป็นอันตราย แต่หากมีอาการร่วมกับแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ หรือเป็นลม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง

สิ่งสำคัญคือการสังเกตตนเองและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น จัดการความเครียด และดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง อย่างไรก็ตาม หากอาการใจสั่นเกิดขึ้นบ่อย หรือมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น อย่ามองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่ต้องได้รับการรักษา

สำหรับผู้ที่มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและความรู้เกี่ยวกับโรคต่าง ๆ สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Medicative ซึ่งมีข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพ รวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์รักษาพยาบาล เพื่อช่วยให้คุณมีความเข้าใจและมีข้อมูลสำหรับการดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น

อ้างอิง

dr-heart

แพทย์ผู้เขียนบทความ

นพ. พลกฤษณ์ ​เชี่ยววิทย์
อายุรศาสตร์หัวใจและหลอดเลือด

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) เป็นวิธีที่ปลอดภัยและแม่นยำในการประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือภาวะหัวใจโต โดยไม่ต้องใช้รังสีหรือผ่าตัด หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสม
โรคลิ้นหัวใจส่งผลต่อหัวใจและคุณภาพชีวิต หากปล่อยไว้ อาจทำให้หัวใจล้มเหลว อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกจะมากขึ้นเมื่อโรครุนแรงขึ้น การรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยา ซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้น การดูแลสุขภาพและตรวจหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

Subscribe and Follow

หมวดหมู่ สุขภาพหัวใจ

ประเภทและอาการ
การวินิจฉัยและการรักษา
เรียนรู้การอยู่กับโรคหัวใจ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า