สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

หัวใจเต้นผิดจังหวะ: อาการ สาเหตุ การรักษา

Share
หัวใจเต้นผิดจังหวะ: อาการ สาเหตุ การรักษา

เคยรู้สึกว่า หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ใจสั่น หรือเต้นสะดุด ไหม? หลายคนอาจมองข้ามอาการเหล่านี้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติจากความเครียดหรือคาเฟอีน แต่จริง ๆ แล้ว ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรละเลย

หัวใจของเราทำงานด้วยระบบไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นอย่างแม่นยำ แต่เมื่อเกิดความผิดปกติ หัวใจอาจ เต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ และอาจนำไปสู่ภาวะอันตราย เช่น หัวใจล้มเหลว หรือโรคหลอดเลือดสมอง ได้

บทความนี้ The Medicative จะพาคุณไปรู้จักภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างละเอียด ตั้งแต่ สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย และแนวทางการรักษา พร้อมเคล็ดลับการป้องกัน เพื่อช่วยให้คุณดูแลหัวใจได้อย่างมั่นใจ เพราะหัวใจที่แข็งแรงคือพื้นฐานของสุขภาพที่ดี

ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ

หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) คืออะไร?

หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) คือ ภาวะที่หัวใจเต้น เร็วเกินไป (tachycardia; มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที) ช้าเกินไป (bradycardia; น้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที) หรือ เต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าภายในหัวใจ

หัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดจากอะไร?

ภาวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) เกิดจาก ความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ สาเหตุของภาวะนี้มีหลายปัจจัย ได้แก่

1. โรคหรือภาวะที่ส่งผลต่อหัวใจโดยตรง

  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (coronary artery disease) – หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงหัวใจอุดตันหรือตีบ ทำให้หัวใจขาดออกซิเจน ส่งผลต่อการทำงานของระบบไฟฟ้า

  • โรคหัวใจล้มเหลว (heart failure) – ทำให้หัวใจอ่อนแอและส่งสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติ

  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart disease) – โครงสร้างของหัวใจผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ส่งผลต่อระบบไฟฟ้าของหัวใจ

  • ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (cardiomyopathy) – กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อระบบไฟฟ้าของหัวใจ

  • ความไม่สมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย

        • โพแทสเซียม (potassium), แมกนีเซียม (magnesium), แคลเซียม (calcium) และ โซเดียม (sodium) เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ หากมีระดับที่สูงหรือต่ำเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ

  • ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ

        • ไทรอยด์เป็นพิษ (hyperthyroidism) กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป

        • ไทรอยด์ทำงานต่ำ (hypothyroidism) อาจทำให้หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ

  • ความดันโลหิตสูง (hypertension)

        • เพิ่มภาระให้หัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

3. ปัจจัยจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม

  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป – กระทบต่อการทำงานของหัวใจ และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  • การสูบบุหรี่ – นิโคตินและสารพิษในบุหรี่กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ

  • การใช้สารกระตุ้น (เช่น คาเฟอีน ยาบ้า โคเคน) – อาจกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติหรือเต้นไม่เป็นจังหวะ

  • ความเครียดและความวิตกกังวล – ฮอร์โมนความเครียด (เช่น อะดรีนาลีน) สามารถกระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้

4. ผลข้างเคียงจากยาและการรักษาทางการแพทย์

  • ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคหอบหืด ยาลดน้ำมูก ยาลดความดันโลหิต อาจส่งผลให้หัวใจเต้นผิดปกติ

  • ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดหัวใจ – การผ่าตัดอาจรบกวนระบบไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้

5. อายุและพันธุกรรม

  • อายุที่มากขึ้น – โอกาสเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากหัวใจเสื่อมสภาพ

  • พันธุกรรม – หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

อาการของหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia)

อาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหว อาจมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ ประเภทของภาวะ และ ความรุนแรงของอาการ บางคนอาจไม่มีอาการเลย แต่บางคนอาจมีอาการที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต

1. อาการที่พบบ่อย

  • ใจสั่น (palpitations) – รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว เต้นแรง หรือเต้นผิดปกติ

  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ (tachycardia) – รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วมากโดยไม่มีสาเหตุ

  • หัวใจเต้นช้าผิดปกติ (bradycardia) – รู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าจนรู้สึกอ่อนเพลีย

  • เวียนศีรษะ หรือหน้ามืด (dizziness or lightheadedness) – รู้สึกโคลงเคลง หรือเสียสมดุล

  • เป็นลมหมดสติ (syncope or fainting) – อาการหมดสติชั่วคราวที่เกิดจากสมองได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ

  • หายใจลำบาก (shortness of breath) – หายใจไม่ทัน หอบง่าย หรือรู้สึกเหมือนขาดอากาศ

  • อ่อนเพลีย หรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ (fatigue or weakness) – รู้สึกไม่มีแรงแม้จะไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก

  • เจ็บแน่นหน้าอก (chest pain or discomfort) – อาจเกิดขึ้นในบางกรณี โดยเฉพาะหากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจ

2. อาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแต่ละประเภท

  • หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ (tachyarrhythmia)

        • ใจสั่น รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง

        • เวียนศีรษะ หรือหน้ามืด

        • เหนื่อยง่ายผิดปกติ

        • หายใจลำบาก

  • หัวใจเต้นช้าผิดจังหวะ (bradyarrhythmia)

        • เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลีย

        • เวียนศีรษะ หรือหมดสติ

        • หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ

        • หายใจลำบาก

  • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรง (ventricular fibrillation – VF)

        • หมดสติทันที

        • ไม่มีชีพจร

        • ต้องได้รับการช่วยชีวิตฉุกเฉินทันที

        • ต้องได้รับการช่วยชีวิตฉุกเฉินทันที

ซึ่งผู้ป่วยหลายคนไม่รู้ว่าตนเองมีภาวะนี้จนเกิดอาการชัดเจน → ลอง เช็กอาการของโรคหัวใจ เบื้องต้นได้

เมื่อใดควรไปพบแพทย์?

ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้

  • ใจสั่นอย่างรุนแรง และรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
  • เจ็บแน่นหน้าอก หรือรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังหยุดเต้น
  • เป็นลมหมดสติ หรือมีอาการเวียนศีรษะรุนแรง
  • หายใจไม่ออก หรือมีอาการหอบอย่างผิดปกติ
  • อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายมากผิดปกติ

หากมีอาการเหล่านี้ อย่ารอช้า! ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาทัน

หากอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงจนหมดสติ หรือมีอาการฉุกเฉินอื่น ๆ คุณสามารถเข้ารับการรักษาโดยใช้ สิทธิ UCEP ได้ทันทีโดยไม่ต้องสำรองจ่าย

หัวใจเต้นผิดจังหวะมีกี่ประเภท?

ภาวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

1. หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ (tachyarrhythmia)

เป็นภาวะที่หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที) โดยภาวะที่พบบ่อย สามารถแบ่งออกเป็นประเภทย่อยได้ดังนี้

  • หัวใจห้องบนเต้นเร็วผิดปกติ (supraventricular tachycardia, SVT)

        • เกิดจากสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติใน หัวใจห้องบน (atria)

        • ทำให้หัวใจเต้นเร็วแบบทันทีทันใดและรุนแรงขึ้น

        • มักเกิดจากการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติในหัวใจ เช่น AV nodal reentrant tachycardia (AVNRT) หรือ AV reentrant tachycardia (AVRT)

  • ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation, AF)

        • เป็นภาวะที่หัวใจห้องบนเต้นแบบไม่สม่ำเสมอ และเร็วมากกว่า 350-600 ครั้งต่อนาที

        • ทำให้การไหลเวียนของเลือดในหัวใจไม่ดี เพิ่มความเสี่ยง เกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

  • ภาวะหัวใจห้องบนกระตุก (atrial flutter)

        • มีลักษณะคล้าย atrial fibrillation แต่มีรูปแบบการเต้นที่เป็นจังหวะมากกว่า

        • สามารถพัฒนาไปเป็น atrial fibrillation ได้หากไม่ได้รับการรักษา

  • ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็ว (ventricular tachycardia, VT)

        • เกิดจากความผิดปกติใน หัวใจห้องล่าง (ventricles) ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

        • หากเกิดนานเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะ หัวใจห้องล่างสั่นพลิ้ว (ventricular fibrillation, VF) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

  • ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นสั่นพลิ้ว (ventricular fibrillation, VF)

        • เป็นภาวะที่หัวใจเต้นแบบไม่เป็นจังหวะอย่างรุนแรง

        • ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้

        • เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับ การปั๊มหัวใจ (CPR) และช็อกไฟฟ้า (defibrillation) ทันที

2. หัวใจเต้นช้าผิดจังหวะ (bradyarrhythmia)

เป็นภาวะที่หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ (ต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที) และอาจทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ

  • ภาวะหัวใจเต้นช้าจากปมไซนัสผิดปกติ (sinus bradycardia)

        • เป็นภาวะที่กลุ่มเซลล์ไซนัส (SA node) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดจังหวะการเต้นของหัวใจ ทำงานผิดปกติ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง

        • อาจเกิดจาก อายุที่มากขึ้น ยาบางชนิด หรือโรคหัวใจ

  • ภาวะทางเดินไฟฟ้าหัวใจถูกปิดกั้น (heart block)

        • เกิดจากการนำไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติ ทำให้สัญญาณไฟฟ้าจาก หัวใจห้องบนไปยังหัวใจห้องล่าง ถูกขัดขวาง

        • แบ่งเป็น 3 ระดับ

              • First-degree heart block: มีการนำไฟฟ้าช้ากว่าปกติ แต่ยังส่งสัญญาณได้

              • Second-degree heart block: สัญญาณบางครั้งไม่สามารถส่งไปถึงหัวใจห้องล่าง

              • Third-degree heart block (complete heart block): สัญญาณไฟฟ้าถูกบล็อกทั้งหมด ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นเองอย่างช้าและไม่เป็นจังหวะ

3. หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ (irregular arrhythmia)

ภาวะที่หัวใจเต้น ไม่สม่ำเสมอ โดยอาจเกิดจากทั้ง หัวใจเต้นเร็ว หรือหัวใจเต้นช้า สลับกัน

  • ภาวะหัวใจเต้นพลาดจังหวะ (premature beats)

        • หัวใจเต้นเร็วหรือข้ามจังหวะไปหนึ่งจังหวะ ซึ่งอาจเกิดจากหัวใจห้องบน (PACs) หรือหัวใจห้องล่าง (PVCs)

        • มักพบได้ในคนทั่วไปและไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเกิดบ่อยควรพบแพทย์

การวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะของอาการและประเภทของความผิดปกติทางไฟฟ้าของหัวใจ แพทย์จะใช้เครื่องมือและการทดสอบทางการแพทย์ต่าง ๆ เพื่อช่วยตรวจสอบการเต้นของหัวใจ

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย

แพทย์มักจะสอบถามเกี่ยวกับ

      • อาการที่เกิดขึ้น เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วหรือช้า เจ็บหน้าอก เป็นลม

      • ปัจจัยเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัว โรคประจำตัว หรือการใช้ยา

      • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือความเครียด

      • ตรวจร่างกายเพื่อดูสัญญาณของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ หรือการฟังเสียงหัวใจ

  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ

แพทย์อาจแนะนำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อระบุชนิดของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

      • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram – ECG/EKG)

          • เป็นการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจ

          • ใช้ระบุชนิดของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นช้า หรือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ

          • เป็นการตรวจที่รวดเร็วและใช้กันอย่างแพร่หลาย

          • ใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพของหัวใจ

          • ช่วยตรวจดูโครงสร้างของหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ และการไหลเวียนของเลือด

          • ใช้เพื่อวิเคราะห์ว่าสาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะมาจากปัญหาของกล้ามเนื้อหรือลิ้นหัวใจหรือไม่

      • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง (Holter monitor)

          • เป็นเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา ที่ผู้ป่วยต้องติดไว้เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง

          • ใช้ตรวจจับความผิดปกติของจังหวะหัวใจที่อาจไม่สามารถตรวจพบได้จาก ECG ปกติ

      • การตรวจบันทึกจังหวะหัวใจระยะยาว (event monitor)

          • คล้ายกับ Holter monitor แต่ใช้บันทึกจังหวะหัวใจในระยะเวลานานกว่า

          • ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการเป็นช่วง ๆ และไม่สามารถจับสัญญาณผิดปกติได้ตลอดเวลา

      • การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (exercise stress test)

          • ใช้เครื่อง ECG บันทึกการทำงานของหัวใจขณะออกกำลังกาย

          • ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการใจสั่นขณะออกกำลังกาย

      • การตรวจสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ (electrophysiology study – EPS)

          • เป็นการตรวจขั้นสูง โดยใช้สายสวนพิเศษใส่เข้าไปในหัวใจผ่านหลอดเลือด เพื่อวิเคราะห์ระบบไฟฟ้าของหัวใจ

          • ใช้เพื่อวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ซับซ้อน และเป็นแนวทางในการรักษา เช่น การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (radiofrequency ablation)

      • การตรวจเอกซเรย์ทรวงอก (chest X-ray)

          • ใช้ดูขนาดและรูปร่างของหัวใจ รวมถึงภาวะผิดปกติของปอดที่อาจส่งผลต่อหัวใจ

      • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ (CT scan) หรือ MRI หัวใจ

          • ใช้สร้างภาพหัวใจที่ละเอียดขึ้น เพื่อดูความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด

      • การตรวจเลือด

          • ใช้ตรวจหาสาเหตุของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น ระดับแร่ธาตุ ฮอร์โมนไทรอยด์ หรือภาวะโลหิตจาง

ผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หรือมีญาติเป็นโรคหัวใจ ควรเข้ารับการ ตรวจคัดกรองโรคหัวใจ เป็นประจำ เพื่อป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในระยะเริ่มต้น

การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การรักษาขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป้าหมายหลักคือ ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรง

1. การใช้ยา

  • ยาควบคุมจังหวะหัวใจ (antiarrhythmic drugs) – เช่น amiodarone, flecainide, sotalol ใช้รักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ (beta-blockers) – เช่น metoprolol, propranolol ใช้ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) – เช่น warfarin, NOACs (apixaban, rivaroxaban edoxaban หรือ dabigatran)  ป้องกันลิ่มเลือดในผู้ที่มี atrial fibrillation (AF)
  • ยาปรับสมดุลแร่ธาตุ – ใช้ในกรณีที่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดจากระดับ โพแทสเซียม แมกนีเซียม หรือแคลเซียมผิดปกติ

2. การรักษาด้วยหัตถการ

ใช้เมื่อการใช้ยาไม่ได้ผล หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง

  • การช็อกไฟฟ้าหัวใจ (cardioversion) – ใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นปกติ
  • การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (catheter ablation) – ใช้คลื่นความถี่สูงทำลายเนื้อเยื่อหัวใจที่เป็นต้นเหตุของการเต้นผิดจังหวะ
  • การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) – ใช้สำหรับภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติ (bradycardia)
  • การฝังเครื่องกระตุกหัวใจ (ICD – implantable cardioverter defibrillator) – ใช้ติดตามและให้การรักษาอย่างทันทีในภาวะ หัวใจห้องล่างสั่นพลิ้ว (ventricular fibrillation, VF) ที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้น

3. การดูแลตนเองและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น – เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และบุหรี่
  • ควบคุมโรคประจำตัว – เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์ผิดปกติ
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม – ควรปรึกษาแพทย์ก่อน หากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจ – ลดไขมัน ลดเกลือ เพิ่มผักและผลไม้
  • จัดการความเครียด – เช่น ฝึกหายใจลึกๆ ทำสมาธิ หรือโยคะ

4. การผ่าตัด (ไม่เป็นทางเลือกหลัก)

  • Maze procedure – ศัลยแพทย์จะสร้างรอยแผลเล็ก ๆ ในหัวใจเพื่อเปลี่ยนเส้นทางไฟฟ้าให้หัวใจเต้นปกติ มักทำในกรณีที่ต้องได้รับการผ่าตัดชนิดอื่นร่วมด้วย 
  • Coronary artery bypass surgery – ใช้เมื่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยที่ลักษณะหลอดเลือดหัวใจไม่เหมาะกับการทำการทำบอลลูนและใส่ขดลวด

การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น การจี้ไฟฟ้า (ablation) หรือใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ สามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่าน สิทธิประกันสังคม ในสถานพยาบาลตามสิทธิของคุณ

การป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะทำได้โดยการดูแลสุขภาพหัวใจและลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดปกติ

  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติด ลดความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับให้เพียงพอ
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์ และรักษาสมดุลแร่ธาตุที่สำคัญ
  • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจ ลดไขมันทรานส์ เกลือ และน้ำตาล เพิ่มผัก ผลไม้ และโอเมก้า-3
  • หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่ส่งผลต่อหัวใจ เช่น ยาลดน้ำมูกบางชนิด หรือยาที่กระตุ้นระบบประสาท

ตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ โดยทำ ECG และพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia FAQ)

1. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอันตรายไหม?

ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง บางกรณีไม่เป็นอันตราย เช่น ใจสั่นชั่วคราวจากความเครียด แต่บางประเภท เช่น atrial fibrillation (AF) อาจเสี่ยงต่อภาวะอัมพาต (stroke) หรือ ventricular fibrillation (VF) ซึ่งทำให้หัวใจหยุดเต้นได้

2. อาการแบบไหนควรรีบพบแพทย์?

      • ใจสั่นรุนแรง หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

      • เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลม

      • เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก

3. หัวใจเต้นผิดจังหวะรักษาหายไหม?

ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง บางรายสามารถควบคุมอาการได้ด้วย ยา การจี้ไฟฟ้าหัวใจ (ablation) หรือฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) แต่บางรายอาจต้องรักษาต่อเนื่อง

4. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่?

ใช่! โดยเฉพาะ atrial fibrillation (AF) และ atrial flutter เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง หากไม่ได้รับการรักษา

5. สามารถป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้อย่างไร?

      • หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และบุหรี่

      • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน

      • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และลดความเครียด

สรุป

ภาวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) อาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ในบางกรณี แต่สำหรับบางคน มันอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ และแนวทางการรักษา สามารถช่วยให้เราป้องกันภาวะนี้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น, ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม, ควบคุมโรคประจำตัว และตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ เป็นกุญแจสำคัญในการดูแลหัวใจให้แข็งแรง หากคุณเคยมีอาการใจสั่น เจ็บหน้าอก หรือเวียนศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่าละเลยสัญญาณเหล่านี้ เพราะมันอาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าหัวใจของคุณต้องการการดูแลมากกว่าที่คิด

สุขภาพหัวใจเป็นเรื่องสำคัญ การรู้จักป้องกันและรับมือกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณมีชีวิตที่แข็งแรงและปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับผู้ที่มองหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและแนวทางการรักษาโรคต่าง ๆ สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ The Medicative แหล่งรวมความรู้ด้านสุขภาพที่ครอบคลุม พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับ สิทธิ์การรักษา เพื่อให้คุณเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ

อ้างอิง

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) เป็นวิธีที่ปลอดภัยและแม่นยำในการประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือภาวะหัวใจโต โดยไม่ต้องใช้รังสีหรือผ่าตัด หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสม
โรคลิ้นหัวใจส่งผลต่อหัวใจและคุณภาพชีวิต หากปล่อยไว้ อาจทำให้หัวใจล้มเหลว อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกจะมากขึ้นเมื่อโรครุนแรงขึ้น การรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยา ซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้น การดูแลสุขภาพและตรวจหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

Subscribe and Follow

หมวดหมู่ สุขภาพหัวใจ

ประเภทและอาการ
การวินิจฉัยและการรักษา
เรียนรู้การอยู่กับโรคหัวใจ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า