หัวใจทำงานเหมือนเครื่องยนต์ที่ต้องการวาล์วควบคุม และลิ้นหัวใจก็คือวาล์วเหล่านั้น แต่ถ้าลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ เช่น เปิดปิดไม่สนิท หรือเสื่อมสภาพตามอายุ การไหลเวียนของเลือดจะติดขัดจนทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) อาจส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหากไม่ได้รับการรักษา
บทความนี้ The Medicative จะช่วยให้คุณเข้าใจโรคนี้ ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางรักษาที่เหมาะสม พร้อมแนะนำวิธีดูแลสุขภาพหัวใจเพื่อป้องกันโรคนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ
โรคลิ้นหัวใจคืออะไร
โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ ลิ้นหัวใจทำหน้าที่เปิดและปิดเพื่อให้เลือดไหลไปในทิศทางที่ถูกต้อง หากลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ เช่น เปิดไม่สุดหรือปิดไม่สนิท อาจทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบ (stenosis) หรือภาวะลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation) ซึ่งอาจส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นและนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหากไม่ได้รับการรักษา
อาการของโรคลิ้นหัวใจ
อาการของโรคลิ้นหัวใจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและระดับความรุนแรง บางคนอาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- เหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย
ผู้ป่วยมักรู้สึกเหนื่อยแม้ทำกิจกรรมที่ไม่หนัก เช่น เดินขึ้นบันได หรือทำงานบ้าน - แน่นหน้าอกหรือเจ็บหน้าอก
อาจมีอาการคล้ายโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะขณะออกแรงหรืออยู่ในภาวะเครียด - ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ผู้ป่วยอาจรู้สึกหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น - เวียนศีรษะและเป็นลมง่าย
การไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติอาจทำให้สมองได้รับเลือดไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะและหน้ามืด - ขาบวมและท้องบวม
เกิดจากภาวะน้ำคั่งในร่างกาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ - หายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ
ภาวะน้ำคั่งในปอดอาจทำให้ผู้ป่วยหายใจติดขัด โดยเฉพาะเวลากลางคืน
สาเหตุของโรคลิ้นหัวใจ
โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) สามารถเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยสาเหตุหลักที่พบบ่อย ได้แก่
- โรคหัวใจรูมาติก (rheumatic heart disease)
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม streptococcus ซึ่งอาจทำให้เกิดไข้รูมาติก (rheumatic fever) และทำให้ลิ้นหัวใจเกิดการอักเสบและเป็นแผลเป็น ส่งผลให้ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วได้ - ความเสื่อมของลิ้นหัวใจตามอายุ (degenerative valve disease)
ผู้สูงอายุมักมีการเปลี่ยนแปลงของลิ้นหัวใจเนื่องจากการสะสมของแคลเซียม ทำให้ลิ้นหัวใจแข็งตัวและเปิดปิดได้ไม่ดี ส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ - โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart valve disease)
เป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจผิดปกติตั้งแต่เกิด เช่น ลิ้นหัวใจมีจำนวนแฉกไม่ครบ หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วตั้งแต่อายุยังน้อย - การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ (infective endocarditis)
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราเข้าสู่กระแสเลือดและไปทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ลิ้นหัวใจเกิดความเสียหายถาวร - ภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของลิ้นหัวใจ
เช่น ความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (cardiomyopathy) และภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ซึ่งอาจส่งผลให้ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติได้
การวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจ
การวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากอาการของโรคอาจคล้ายกับภาวะหัวใจอื่น ๆ หรืออาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก แพทย์จะใช้วิธีการตรวจหลายรูปแบบเพื่อประเมินการทำงานของลิ้นหัวใจและระบุระดับความรุนแรงของโรค การวินิจฉัยสามารถทำได้ผ่านกระบวนการต่อไปนี้
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
- แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการที่ผู้ป่วยมี เช่น เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ใจสั่น หรือขาบวม
- ตรวจสอบปัจจัยเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัวของโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
- ใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจ (stethoscope) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเสียงหัวใจ เช่น เสียงฟู่ (heart murmur) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว
2. การตรวจเอกซเรย์ทรวงอก (chest X-ray)
- ใช้เพื่อประเมินขนาดและรูปร่างของหัวใจ หากหัวใจโตผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงภาวะที่ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ
- สามารถตรวจหาภาวะน้ำคั่งในปอด ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลวที่อาจเกิดจากโรคลิ้นหัวใจ
3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram, ECG หรือ EKG)
- เป็นการตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจ เพื่อตรวจหาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ
- สามารถช่วยบ่งชี้ว่าหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว
4. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram)
- เป็นวิธีหลักที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพของหัวใจ
- สามารถแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวของลิ้นหัวใจ การไหลเวียนของเลือด และระดับความรุนแรงของความผิดปกติ
- มีหลายประเภท เช่น
- Transthoracic echocardiogram (TTE) – เป็นการตรวจผ่านผนังหน้าอก ใช้เป็นวิธีตรวจพื้นฐาน
- Transesophageal echocardiogram (TEE) – เป็นการตรวจผ่านสายตรวจที่สอดเข้าไปในหลอดอาหาร เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการประเมินลิ้นหัวใจอย่างละเอียด
5. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (cardiac CT scan) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหัวใจ (cardiac MRI)
- ใช้เพื่อให้ได้ภาพหัวใจที่มีความละเอียดสูง สามารถตรวจดูโครงสร้างของลิ้นหัวใจ หลอดเลือด และห้องหัวใจได้
- Cardiac CT scan เหมาะสำหรับการตรวจหาการสะสมของแคลเซียมที่ลิ้นหัวใจ
- Cardiac MRI ช่วยประเมินการทำงานของหัวใจและระดับความรุนแรงของภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ
6. การตรวจสวนหัวใจและฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (cardiac catheterization)
- ใช้ในกรณีที่ต้องการประเมินลิ้นหัวใจอย่างละเอียด โดยแพทย์จะใส่สายสวน (catheter) เข้าไปในหลอดเลือด และฉีดสารทึบรังสีเพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ
- สามารถช่วยระบุได้ว่ามีการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเลือกแนวทางรักษา
การรักษาโรคลิ้นหัวใจ
การรักษาโรคลิ้นหัวใจขึ้นอยู่กับชนิดของความผิดปกติ ระดับความรุนแรงของอาการ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เป้าหมายหลักของการรักษาคือการบรรเทาอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
1. การติดตามอาการและปรับพฤติกรรมสุขภาพ
ในผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจผิดปกติแต่ยังไม่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ติดตามอาการและปรับพฤติกรรมสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมของลิ้นหัวใจ
- การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของลิ้นหัวใจและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ เพื่อช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น
- การควบคุมอาหาร ลดการบริโภคเกลือ ไขมันอิ่มตัว และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงเพื่อลดภาระของหัวใจ
- การหลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
2. การรักษาด้วยยา
ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งจ่ายยาเพื่อช่วยควบคุมอาการและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยยาที่ใช้บ่อย ได้แก่
- ยาขับปัสสาวะ ช่วยลดปริมาณของเหลวในร่างกายและลดภาระการทำงานของหัวใจ
- ยาลดความดันโลหิต ใช้เพื่อลดแรงต้านในหลอดเลือดและช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือได้รับการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม เพื่อลดความเสี่ยงของลิ่มเลือดอุดตัน
- ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น beta-blockers หรือ calcium channel blockers เพื่อช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ
3. การทำหัตถการเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
หากอาการรุนแรงจนการรักษาด้วยยาไม่สามารถควบคุมได้ แพทย์อาจพิจารณาการทำหัตถการเพื่อลดภาระการทำงานของหัวใจและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
- การขยายลิ้นหัวใจด้วยบอลลูน (balloon valvuloplasty)
- ใช้ในกรณีลิ้นหัวใจตีบ โดยแพทย์จะสอดสายสวนที่ปลายมีบอลลูนเข้าไปในหลอดเลือดและพองบอลลูนเพื่อขยายลิ้นหัวใจให้กว้างขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ลิ้นหัวใจตีบแต่ยังไม่มีอาการรุนแรงมาก หรือผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
- การซ่อมแซมลิ้นหัวใจ (valve repair)
- ใช้ในกรณีที่ลิ้นหัวใจรั่วหรือมีความผิดปกติไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจใช้เทคนิคการเย็บลิ้นหัวใจเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
- มักใช้กับลิ้นหัวใจไมตรัลและไตรคัสปิด
- การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (valve replacement)
- ใช้ในกรณีที่ลิ้นหัวใจเสียหายรุนแรงจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่ ซึ่งมีสองประเภท ได้แก่
- ลิ้นหัวใจเนื้อเยื่อชีวภาพ (bioprosthetic valve) ทำจากเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจของวัวหรือหมู มีข้อดีคือไม่ต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด แต่มีอายุการใช้งานสั้นกว่าลิ้นหัวใจเทียมแบบโลหะ
- ลิ้นหัวใจเทียมแบบโลหะ (mechanical valve) ทำจากวัสดุสังเคราะห์ทางการแพทย์ ทนทานกว่า แต่ต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต
- ใช้ในกรณีที่ลิ้นหัวใจเสียหายรุนแรงจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่ ซึ่งมีสองประเภท ได้แก่
- การเปลี่ยนลิ้นหัวใจผ่านสายสวน (transcatheter aortic valve replacement, TAVR)
- เป็นเทคนิคที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบและไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดแบบเปิดได้
- แพทย์จะสอดสายสวนเข้าไปทางหลอดเลือดแล้วปล่อยลิ้นหัวใจเทียมเข้าไปแทนที่ลิ้นหัวใจที่เสียหาย
- เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด
4. การฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจหลังการรักษา
หลังจากได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจเพื่อช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยประกอบด้วย
- การออกกำลังกายภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ
- การควบคุมอาหารและน้ำหนักตัว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- การใช้ยาอย่างต่อเนื่อง และการตรวจติดตามอาการเป็นระยะ
ดูแลหัวใจให้แข็งแรง ป้องกันโรคลิ้นหัวใจ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและโซเดียม
- หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ
- ตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
หากมีอาการผิดปกติของหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กและรับการรักษาที่เหมาะสม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคลิ้นหัวใจไมทรัลรั่ว (mitral regurgitation)
1. โรคลิ้นหัวใจอันตรายไหม
หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ แต่หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
2. โรคลิ้นหัวใจรักษาหายขาดได้หรือไม่
ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค ในบางกรณีสามารถรักษาได้ด้วยยา แต่หากลิ้นหัวใจเสียหายรุนแรง อาจต้องทำการผ่าตัด
3. การเปลี่ยนลิ้นหัวใจต้องพักฟื้นนานแค่ไหน
โดยทั่วไปผู้ป่วยต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 4-8 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมและวิธีการผ่าตัดที่ใช้
4. โรคลิ้นหัวใจเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่
ความดันโลหิตสูงสามารถเพิ่มภาระให้หัวใจและทำให้ลิ้นหัวใจเสื่อมเร็วขึ้นได้
สรุป
โรคลิ้นหัวใจเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ แม้ว่าบางคนอาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อโรคดำเนินไป อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกอาจเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
การวินิจฉัยโรคที่แม่นยำและการรักษาที่เหมาะสม ตั้งแต่การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ไปจนถึงการซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจเพื่อให้หัวใจทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การปรับพฤติกรรมสุขภาพ และการตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้
หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม สำหรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติม สามารถเข้าไปศึกษาได้ที่เว็บไซต์ The Medicative แหล่งรวมความรู้ด้านสุขภาพ พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์การรักษา เพื่อให้คุณเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ
อ้างอิง
- https://www.heartandstroke.ca/heart-disease/conditions/valvular-heart-disease
- https://www.heart.org/en/health-topics/heart-valve-problems-and-disease/heart-valve-disease-risks-signs-and-symptoms/symptoms-of-heart-valve-problems
- https://www.heart.org/en/health-topics/cardiomyopathy/what-is-cardiomyopathy-in-adults
- https://www.hopkinsmedicine.org/health/treatment-tests-and-therapies/transesophageal-echocardiogram
- https://my.clevelandclinic.org/health/diagnostics/13477-echocardiogram-transthoracic-tte
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK519532/
- https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/transcatheter-aortic-valve-replacement/about/pac-20384698