สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease): อาการ สาเหตุ การรักษา

Share
โรคลิ้นหัวใจ

หัวใจทำงานเหมือนเครื่องยนต์ที่ต้องการวาล์วควบคุม และลิ้นหัวใจก็คือวาล์วเหล่านั้น แต่ถ้าลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ เช่น เปิดปิดไม่สนิท หรือเสื่อมสภาพตามอายุ การไหลเวียนของเลือดจะติดขัดจนทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) อาจส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหากไม่ได้รับการรักษา 

บทความนี้ The Medicative จะช่วยให้คุณเข้าใจโรคนี้ ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางรักษาที่เหมาะสม พร้อมแนะนำวิธีดูแลสุขภาพหัวใจเพื่อป้องกันโรคนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ

โรคลิ้นหัวใจคืออะไร

โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ ลิ้นหัวใจทำหน้าที่เปิดและปิดเพื่อให้เลือดไหลไปในทิศทางที่ถูกต้อง หากลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ เช่น เปิดไม่สุดหรือปิดไม่สนิท อาจทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบ (stenosis) หรือภาวะลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation) ซึ่งอาจส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นและนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหากไม่ได้รับการรักษา

อาการของโรคลิ้นหัวใจ

อาการของโรคลิ้นหัวใจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและระดับความรุนแรง บางคนอาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • เหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย
    ผู้ป่วยมักรู้สึกเหนื่อยแม้ทำกิจกรรมที่ไม่หนัก เช่น เดินขึ้นบันได หรือทำงานบ้าน
  • แน่นหน้าอกหรือเจ็บหน้าอก
    อาจมีอาการคล้ายโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะขณะออกแรงหรืออยู่ในภาวะเครียด
  • ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
    ผู้ป่วยอาจรู้สึกหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  • เวียนศีรษะและเป็นลมง่าย
    การไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติอาจทำให้สมองได้รับเลือดไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะและหน้ามืด
  • ขาบวมและท้องบวม
    เกิดจากภาวะน้ำคั่งในร่างกาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบ
    ภาวะน้ำคั่งในปอดอาจทำให้ผู้ป่วยหายใจติดขัด โดยเฉพาะเวลากลางคืน

สาเหตุของโรคลิ้นหัวใจ

โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease) สามารถเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยสาเหตุหลักที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคหัวใจรูมาติก (rheumatic heart disease)
    เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม streptococcus ซึ่งอาจทำให้เกิดไข้รูมาติก (rheumatic fever) และทำให้ลิ้นหัวใจเกิดการอักเสบและเป็นแผลเป็น ส่งผลให้ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วได้
  • ความเสื่อมของลิ้นหัวใจตามอายุ (degenerative valve disease)
    ผู้สูงอายุมักมีการเปลี่ยนแปลงของลิ้นหัวใจเนื่องจากการสะสมของแคลเซียม ทำให้ลิ้นหัวใจแข็งตัวและเปิดปิดได้ไม่ดี ส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart valve disease)
    เป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจผิดปกติตั้งแต่เกิด เช่น ลิ้นหัวใจมีจำนวนแฉกไม่ครบ หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วตั้งแต่อายุยังน้อย
  • การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ (infective endocarditis)
    เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราเข้าสู่กระแสเลือดและไปทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ลิ้นหัวใจเกิดความเสียหายถาวร
  • ภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของลิ้นหัวใจ
    เช่น ความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (cardiomyopathy) และภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ซึ่งอาจส่งผลให้ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติได้

การวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจ

การวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากอาการของโรคอาจคล้ายกับภาวะหัวใจอื่น ๆ หรืออาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก แพทย์จะใช้วิธีการตรวจหลายรูปแบบเพื่อประเมินการทำงานของลิ้นหัวใจและระบุระดับความรุนแรงของโรค การวินิจฉัยสามารถทำได้ผ่านกระบวนการต่อไปนี้

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย

  • แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการที่ผู้ป่วยมี เช่น เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ใจสั่น หรือขาบวม
  • ตรวจสอบปัจจัยเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัวของโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
  • ใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจ (stethoscope) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเสียงหัวใจ เช่น เสียงฟู่ (heart murmur) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว

2. การตรวจเอกซเรย์ทรวงอก (chest X-ray)

  • ใช้เพื่อประเมินขนาดและรูปร่างของหัวใจ หากหัวใจโตผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงภาวะที่ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ
  • สามารถตรวจหาภาวะน้ำคั่งในปอด ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลวที่อาจเกิดจากโรคลิ้นหัวใจ

3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram, ECG หรือ EKG)

  • เป็นการตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจ เพื่อตรวจหาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ
  • สามารถช่วยบ่งชี้ว่าหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว

4. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram)

  • เป็นวิธีหลักที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพของหัวใจ
  • สามารถแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวของลิ้นหัวใจ การไหลเวียนของเลือด และระดับความรุนแรงของความผิดปกติ
  • มีหลายประเภท เช่น
      • Transthoracic echocardiogram (TTE) – เป็นการตรวจผ่านผนังหน้าอก ใช้เป็นวิธีตรวจพื้นฐาน
      • Transesophageal echocardiogram (TEE) – เป็นการตรวจผ่านสายตรวจที่สอดเข้าไปในหลอดอาหาร เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการประเมินลิ้นหัวใจอย่างละเอียด

5. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (cardiac CT scan) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหัวใจ (cardiac MRI)

  • ใช้เพื่อให้ได้ภาพหัวใจที่มีความละเอียดสูง สามารถตรวจดูโครงสร้างของลิ้นหัวใจ หลอดเลือด และห้องหัวใจได้
  • Cardiac CT scan เหมาะสำหรับการตรวจหาการสะสมของแคลเซียมที่ลิ้นหัวใจ
  • Cardiac MRI ช่วยประเมินการทำงานของหัวใจและระดับความรุนแรงของภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ

6. การตรวจสวนหัวใจและฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (cardiac catheterization)

  • ใช้ในกรณีที่ต้องการประเมินลิ้นหัวใจอย่างละเอียด โดยแพทย์จะใส่สายสวน (catheter) เข้าไปในหลอดเลือด และฉีดสารทึบรังสีเพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ
  • สามารถช่วยระบุได้ว่ามีการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเลือกแนวทางรักษา

การรักษาโรคลิ้นหัวใจ

การรักษาโรคลิ้นหัวใจขึ้นอยู่กับชนิดของความผิดปกติ ระดับความรุนแรงของอาการ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เป้าหมายหลักของการรักษาคือการบรรเทาอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

1. การติดตามอาการและปรับพฤติกรรมสุขภาพ

ในผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจผิดปกติแต่ยังไม่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ติดตามอาการและปรับพฤติกรรมสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมของลิ้นหัวใจ

  • การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของลิ้นหัวใจและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ เพื่อช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น
  • การควบคุมอาหาร ลดการบริโภคเกลือ ไขมันอิ่มตัว และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงเพื่อลดภาระของหัวใจ
  • การหลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น

2. การรักษาด้วยยา

ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งจ่ายยาเพื่อช่วยควบคุมอาการและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยยาที่ใช้บ่อย ได้แก่

  • ยาขับปัสสาวะ ช่วยลดปริมาณของเหลวในร่างกายและลดภาระการทำงานของหัวใจ
  • ยาลดความดันโลหิต ใช้เพื่อลดแรงต้านในหลอดเลือดและช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือได้รับการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม เพื่อลดความเสี่ยงของลิ่มเลือดอุดตัน
  • ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น beta-blockers หรือ calcium channel blockers เพื่อช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ

3. การทำหัตถการเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

หากอาการรุนแรงจนการรักษาด้วยยาไม่สามารถควบคุมได้ แพทย์อาจพิจารณาการทำหัตถการเพื่อลดภาระการทำงานของหัวใจและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

  • การขยายลิ้นหัวใจด้วยบอลลูน (balloon valvuloplasty)
      • ใช้ในกรณีลิ้นหัวใจตีบ โดยแพทย์จะสอดสายสวนที่ปลายมีบอลลูนเข้าไปในหลอดเลือดและพองบอลลูนเพื่อขยายลิ้นหัวใจให้กว้างขึ้น
      • เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ลิ้นหัวใจตีบแต่ยังไม่มีอาการรุนแรงมาก หรือผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
  • การซ่อมแซมลิ้นหัวใจ (valve repair)
      • ใช้ในกรณีที่ลิ้นหัวใจรั่วหรือมีความผิดปกติไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจใช้เทคนิคการเย็บลิ้นหัวใจเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
      • มักใช้กับลิ้นหัวใจไมตรัลและไตรคัสปิด
  • การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (valve replacement)
      • ใช้ในกรณีที่ลิ้นหัวใจเสียหายรุนแรงจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่ ซึ่งมีสองประเภท ได้แก่
          • ลิ้นหัวใจเนื้อเยื่อชีวภาพ (bioprosthetic valve) ทำจากเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจของวัวหรือหมู มีข้อดีคือไม่ต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด แต่มีอายุการใช้งานสั้นกว่าลิ้นหัวใจเทียมแบบโลหะ
          • ลิ้นหัวใจเทียมแบบโลหะ (mechanical valve) ทำจากวัสดุสังเคราะห์ทางการแพทย์ ทนทานกว่า แต่ต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต
  • การเปลี่ยนลิ้นหัวใจผ่านสายสวน (transcatheter aortic valve replacement, TAVR)
      • เป็นเทคนิคที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบและไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดแบบเปิดได้
      • แพทย์จะสอดสายสวนเข้าไปทางหลอดเลือดแล้วปล่อยลิ้นหัวใจเทียมเข้าไปแทนที่ลิ้นหัวใจที่เสียหาย
      • เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด

4. การฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจหลังการรักษา

หลังจากได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจเพื่อช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยประกอบด้วย

  • การออกกำลังกายภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ
  • การควบคุมอาหารและน้ำหนักตัว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • การใช้ยาอย่างต่อเนื่อง และการตรวจติดตามอาการเป็นระยะ

ดูแลหัวใจให้แข็งแรง ป้องกันโรคลิ้นหัวใจ

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ
  • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและโซเดียม
  • หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ
  • ตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

หากมีอาการผิดปกติของหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กและรับการรักษาที่เหมาะสม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคลิ้นหัวใจไมทรัลรั่ว (mitral regurgitation)

1. โรคลิ้นหัวใจอันตรายไหม

หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ แต่หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

2. โรคลิ้นหัวใจรักษาหายขาดได้หรือไม่

ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค ในบางกรณีสามารถรักษาได้ด้วยยา แต่หากลิ้นหัวใจเสียหายรุนแรง อาจต้องทำการผ่าตัด

3. การเปลี่ยนลิ้นหัวใจต้องพักฟื้นนานแค่ไหน

โดยทั่วไปผู้ป่วยต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 4-8 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมและวิธีการผ่าตัดที่ใช้

4. โรคลิ้นหัวใจเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่

ความดันโลหิตสูงสามารถเพิ่มภาระให้หัวใจและทำให้ลิ้นหัวใจเสื่อมเร็วขึ้นได้

สรุป

โรคลิ้นหัวใจเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ แม้ว่าบางคนอาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อโรคดำเนินไป อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกอาจเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

การวินิจฉัยโรคที่แม่นยำและการรักษาที่เหมาะสม ตั้งแต่การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ไปจนถึงการซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจเพื่อให้หัวใจทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การปรับพฤติกรรมสุขภาพ และการตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้

หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม สำหรับข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มเติม สามารถเข้าไปศึกษาได้ที่เว็บไซต์ The Medicative แหล่งรวมความรู้ด้านสุขภาพ พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิ์การรักษา เพื่อให้คุณเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ

อ้างอิง

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) เป็นวิธีที่ปลอดภัยและแม่นยำในการประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือภาวะหัวใจโต โดยไม่ต้องใช้รังสีหรือผ่าตัด หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสม
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แม้จะเป็นภาวะที่น่ากังวล แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างเหมาะสม และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ

Subscribe and Follow

หมวดหมู่ สุขภาพหัวใจ

ประเภทและอาการ
การวินิจฉัยและการรักษา
เรียนรู้การอยู่กับโรคหัวใจ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า