สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์
ทีมงาน The Medicative | ติดต่อเรา
สื่อสารเรื่องราวสุขภาพในแบบที่สร้างสรรค์

คำแนะนำ: เริ่มค้นหาด้วยคำง่าย ๆ เช่น 

สิทธิบัตรทอง

ภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter): อาการ สาเหตุ การรักษา

Share
ภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว

เคยรู้สึกใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หรือเหนื่อยง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุหรือไม่? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter) หนึ่งในภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่อาจเกิดขึ้นโดยที่หลายคนไม่รู้ตัว แม้ว่า atrial flutter จะไม่อันตรายร้ายแรงในทันทีเหมือนกับภาวะหัวใจวาย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลวได้

บทความนี้ The Medicative จะพาคุณไปรู้จักภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัวให้มากขึ้น ทั้งสาเหตุ อาการ ผลกระทบ และวิธีการรักษา รวมถึงแนวทางการป้องกัน เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลหัวใจของตัวเองได้อย่างมั่นใจ พร้อมคำแนะนำด้านสุขภาพที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่ต้องการป้องกันหรือจัดการภาวะนี้อย่างถูกต้อง

ไปยังหัวข้อที่คุณสนใจ

ภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter) คืออะไร?

ภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter) เป็นหนึ่งในภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่พบบ่อย เกิดจากสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจที่ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้หัวใจห้องบนเต้นเร็วผิดปกติ โดยทั่วไปหัวใจของคนเราจะเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอที่อัตราประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที แต่เมื่อเกิด atrial flutter หัวใจห้องบนอาจเต้นเร็วถึง 250-350 ครั้งต่อนาที ทำให้หัวใจห้องล่างต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปทั่วร่างกาย

แม้ว่า atrial flutter จะไม่รุนแรงเท่ากับ atrial fibrillation ซึ่งเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ซับซ้อนกว่า แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น หลอดเลือดสมองตีบ (stroke) และภาวะหัวใจล้มเหลวได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว ซึ่งเป็นภาวะที่คล้ายคลึงแต่มีลักษณะการเต้นที่ไม่สม่ำเสมอมากกว่า

สาเหตุของ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter)

ภาวะ atrial flutter เกิดจากความผิดปกติของการนำกระแสไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งสามารถเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่

  • โรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ หรือภาวะหัวใจล้มเหลว
  • ความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มความเครียดต่อผนังหลอดเลือดและหัวใจ
  • โรคปอดเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง (COPD) ซึ่งส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
  • โรคเบาหวาน ที่ส่งผลต่อหลอดเลือดและระบบประสาทอัตโนมัติ
  • ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (hyperthyroidism) ที่กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • การดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป ซึ่งอาจกระตุ้นหัวใจและทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ภาวะร่างกายขาดสมดุลของเกลือแร่ โดยเฉพาะโพแทสเซียมและแมกนีเซียม

ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งอาจรบกวนสัญญาณไฟฟ้าภายในหัวใจ

อาการของภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter)

อาการของ atrial flutter อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและสุขภาพพื้นฐาน โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ – ผู้ป่วยมักรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงเกินไปหรือเต้นไม่เป็นจังหวะ
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง – เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ
  • เวียนศีรษะ หรือหน้ามืด – เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ
  • หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจลำบาก – เกิดจากการไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติ
  • เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก – ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • หมดสติในบางกรณี – หากหัวใจเต้นผิดปกติรุนแรงจนกระทบต่อการไหลเวียนเลือด

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หากไม่ได้รับการรักษา ภาวะ atrial flutter อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ได้แก่

  • โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) – หัวใจเต้นผิดจังหวะอาจทำให้เกิดลิ่มเลือด และหากลิ่มเลือดไหลไปอุดตันหลอดเลือดสมอง อาจทำให้เกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาตตามมา
  • หัวใจล้มเหลว (heart failure) – การเต้นผิดจังหวะที่ต่อเนื่องอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและอ่อนแอลง
  • Atrial fibrillation – ผู้ป่วยบางรายอาจพัฒนาไปสู่ atrial fibrillation ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่า

การวินิจฉัยภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter)

แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะนี้ได้โดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น

  • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) – เป็นวิธีหลักที่ใช้ตรวจจับ atrial flutter 

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีตรวจนี้ในบทความ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

  • เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา (Holter monitor) – ใช้บันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
  • การทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (stress test) – เพื่อดูว่าภาวะนี้เกิดขึ้นขณะออกกำลังกายหรือไม่
  • การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) – เพื่อตรวจสอบโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ

การรักษา atrial flutter

1. การใช้ยา

    • ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น beta-blockers หรือ calcium channel blockers

    • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin หรือ DOACs

    • ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ เช่น amiodarone

หากคุณอยู่ในระบบประกันสังคม การรักษาภาวะนี้รวมอยู่ใน สิทธิประกันสังคมสำหรับโรคหัวใจ ด้วย

2. การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ (cardioversion)

เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าปรับจังหวะหัวใจให้เป็นปกติ

3. การจี้ไฟฟ้าหัวใจ (catheter ablation)

เป็นวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้สายสวนส่งคลื่นวิทยุไปทำลายจุดที่เกิดสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติ

4. การใส่อุปกรณ์ควบคุมหัวใจ (pacemaker)

ใช้ในกรณีที่หัวใจเต้นช้าหลังการรักษา หรือมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่รักษายาก หรือรักษาไม่ได้ด้วยวิธีอื่น

วิธีป้องกันภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (atrial flutter)

  • ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
  • หลีกเลี่ยงความเครียด และนอนหลับให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดที่กระตุ้นหัวใจ
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ผัก ผลไม้ และไขมันดีจากปลา

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ atrial flutter

1. Atrial flutter อันตรายไหม?

      • แม้ว่า atrial flutter จะไม่ร้ายแรงเท่า atrial fibrillation แต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและภาวะหัวใจล้มเหลว

2. Atrial flutter รักษาหายขาดได้หรือไม่?

      • ในบางกรณีสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะการใช้ catheter ablation ซึ่งมีอัตราความสำเร็จสูง

3. คนที่เป็น atrial flutter ต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง?

      • ควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ความเครียด และอาหารที่มีโซเดียมสูง

4. การออกกำลังกายส่งผลต่อ atrial flutter หรือไม่?

    • สามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม

สรุป

ภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัวอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หากมีอาการใจสั่น หน้ามืด หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที และสามารถใช้ สิทธิ UCEP เข้ารับการรักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย

การดูแลหัวใจให้แข็งแรงควรเริ่มจากการควบคุมปัจจัยเสี่ยง และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคหัวใจและสิทธิการรักษา เข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ The Medicative เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพอย่างมั่นใจ

อ้างอิง

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest Posts

การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) เป็นวิธีที่ปลอดภัยและแม่นยำในการประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือภาวะหัวใจโต โดยไม่ต้องใช้รังสีหรือผ่าตัด หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสม
โรคลิ้นหัวใจส่งผลต่อหัวใจและคุณภาพชีวิต หากปล่อยไว้ อาจทำให้หัวใจล้มเหลว อาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกจะมากขึ้นเมื่อโรครุนแรงขึ้น การรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยา ซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้น การดูแลสุขภาพและตรวจหัวใจเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

Subscribe and Follow

หมวดหมู่ สุขภาพหัวใจ

ประเภทและอาการ
การวินิจฉัยและการรักษา
เรียนรู้การอยู่กับโรคหัวใจ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า